Integrity Legal - Law Firm in Bangkok | Bangkok Lawyer | Legal Services Thailand Back to
Integrity Legal

Legal Services & Resources 

Up to date legal information pertaining to Thai, American, & International Law.

Contact us: +66 2-266 3698

[email protected]

ResourcesThailand Real Estate & Property LawJurisprudence"หนังสือเดินทางแบบดิจิตอล" และ "กระเป๋าตังค์แบบดิจิตอล" สำหรับมนุษย์ analog?

"หนังสือเดินทางแบบดิจิตอล" และ "กระเป๋าตังค์แบบดิจิตอล" สำหรับมนุษย์ analog?

For the English transcript of this video, please go to the following link;

https://www.legal.co.th/resources/thailand-real-estate-property-law/jurisprudence/digital-passports-and-digital-wallets-analog-people/

วีดีโอเรื่องนี้จะกล่าวถึงพาสปอร์ตดิจิตอล และกระเป๋าตังค์ดิจิตอล ตั้งแต่ช่วงปี 2020 เป็นต้นมา ถ้าหากใครที่มีประสบการณ์ชีวิต จะเห็นถึงการที่รัฐบาลต้องการครอบงำผู่คน เพราะมีการพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าต้องการให้ผู้คนใช้หนังสือเดินทางแบบดิจิตอล กระเป๋าตังค์แบบดิจิตอล ดิจิตอลโน่น ดิจิตอลนี่ ฟังนะ มนุษย์คือพวก analog และถ้าหากผมยังพูดไม่ชัดเจนในวีดีโอม้วนอื่นก่อนหน้านี้โดยเฉพาะในบริบทที่เกี่ยวกับกระเป๋าตังค์ดิจิตอลหรือโครงการกระเป๋าตังค์ดิจิตอลทั่วโลก ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดให้ชัดกว่านี้ได้อย่างไร ผมว่ามันเป็นเรื่องน่าขนพองสยองเกล้ามาก พูดได้แค่นั้นจริงๆอย่าให้พูดมากเลย จริงๆแล้ว ตอนนี้เรามาถึงจุดที่ประชาชนทั่วโลกควรที่จะเริ่มพูดกันว่า “พอสักที" ไม่มีใครเรียกร้องสิ่งเหล่านี้ และเราก็ไม่ต้องการมันสักหน่อย  สำหรับวีดีโอเรื่องนี้จะไม่ได้พูดถึง "กระเป๋าตังค์ดิจิตอล" แต่จะพูดในบริบทของ "พาสปอร์ตดิจิตอล" มากกว่า

ตอนแรกผมคิดจะทำวีดีโอเรื่องนี้หลังจากได้อ่านบทความใน ZeroHedge, zerohedge.com, ชื่อเรื่องว่า: Achtung! US travel to Europe will require prior approval, biometric scanning. โปรดระวัง! การเดินทางจากสหรัฐฯไปยุโรปจะต้องมีการอนุมัติล่วงหน้าและต้องมีการตรวจ biometric หรือ การยืนยันตัวตนด้วยชีวมาตร ขอยกข้อความจากบทความโดยตรงดังนี้: "การเดินทางไปประเทศต่างๆเกือบทั้งหมดในยุโรปสำหรับชาวอเมริกัน จะเริ่มวุ่นวายและถูกรุกรานมากขึ้น ในฤดูใบไม้ผลิของปี 2025 พวกคุณจะต้องเริ่มด้วยการขออนุญาตและบอกลากับการประทับตราในหนังสือเดินทาง แต่จะต้องทักทายกับการตรวจอัตลักษณ์ใบหน้าและลายนิ้วมือ ข้อมูลเกี่ยวกับชีวะมาตรของตัวคุณจะถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลของรัฐบาล" ผมขอแนะนำให้คนที่กำลังฟังบทความนี้ ให้ไปอ่านเพิ่มเติมที่ ZeroHedge เพราะมีข้อมูลดีๆมากมายและน่าสนใจมากๆ ในมุมมองของผม ในฐานะที่เป็นทนายอเมริกันที่ทำงานเกี่ยวกับการเข้าเมือง ผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ จริงๆแล้ว ผมแปลกใจที่มันไม่ได้เกิดขึ้นเร็วกว่านี้ ผมกำลังพูดถึงอะไร? ผมกำลังพูดถึง ESTA (Electronic System for Travel Authorization) ซึ่งเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการอนุมัติการเดินทางที่สหรัฐอเมริกาได้นำมาใช้ตั้งแต่ยุคของการบริหารโดยประธานาธิบดี Bush ในสมัยนั้นจะเรียกว่า “Back Door Visa” คือตอนนั้น มีหลายประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าในการเดินทางเข้าสหรัฐฯ หมายความว่า คุณสามารถที่จะขึ้นเครื่องบิน เดินทางไปถึงสหรัฐฯ ได้รับตราประทับโดยที่ไม่ต้องขอวีซ่าก่อน พอมีการเริ่มใช้ระบบดิจิตอล ESTA ซึ่งเป็นระบบที่ผู้เดินทางจะต้องเข้าไปดำเนินการก่อนที่จะเดินทางไปสหรัฐฯ และในความเห็นของผมก็ถือเป็นการสร้างแพล็ดฟอร์มขึ้นมา ซึ่งถ้าพูดตรงๆ ลองคิดดู จริงอยู่สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศอธิปไตยและมีสิทธิ์ที่จะกำหนดมาตรการเพื่อใช้สำหรับผู้ที่ประสงค์จะเดินทางเข้าประเทศรวมทั้งระเบียบพิธีการต่างๆ ถึงกระนั้นก็ตาม ผมเองก็เคยสงสัยว่ารัฐบาลจะมาใช้ความพิถีพิถันและความเพียรพยายามกับกฎหมายการเข้าเมืองต่อผู้คนที่พยายามที่จะบินเข้ามา หรือบางคนอาจจะข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาเพื่ออะไร? ในเมื่อในขณะเดียวกัน แถวบริเวณชายแดนทางใต้ยังไม่เคยเห็นว่าจะมีใครพยายามนำระเบียบพิธีการเหล่านี้มาใช้เลย เพราะฉะนั้น มันดูเหมือนว่าจะเป็น อย่างน้อยที่สุดก็คือ “นโยบายจิตหลอน” ในการเข้าเมืองของสหรัฐฯ คราวนี้วางเรื่องสหรัฐฯเอาไว้ก่อน ตอนนี้ EU กำลังทำสิ่งที่เรียกว่าโต้ตอบแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ประมาณว่า: "เอาล่ะพวกอเมริกันทั้งหลาย คุณปฏิบัติเช่นนี้กับประชาชนที่ถือพาสปอร์ตของเรา เราก็จะทำกับคุณในลักษณะเดียวกัน" คล้ายๆกับว่าเป็นการปฏิบัติต่างตอบแทน หรือการต่างตอบแทนเชิงลบ ก็ว่าได้ สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในเรื่องการเข้าเมือง

แต่ที่ตรงประเด็นมากกว่านี้ในเรื่องหนังสือเดินทางแบบดิจิตอลโดยรวมซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผมขนหัวลุก และเป็นเหตุผลให้ผมทำวีดีโอเรื่องนี้ก็คือหลังจากที่ผมได้อ่านบทความจาก abc.net.au, หัวข้อเรื่องว่า:Passport stamps being phased out around the world as paper-free travel technology moves closer(การประทับตราในหนังสือเดินทางจะค่อยๆหมดไปทั่วโลกเนื่องจากเทคโนโลยีสำหรับการเดินทางที่ไร้กระดาษกำลังใกล้เข้ามา) ขอยกจากบทความโดยตรงดังนี้: "ตราประทับในหนังสือเดินทาง ถูกมองว่าเป็น “ของที่ระลึก” มาหลายทศวรรษ แต่ถ้าหากคุณเพิ่งได้เดินทางไปต่างประเทศเมื่อไม่นานมานี้ คุณอาจจะสังเกตได้ว่ามีบางประเทศที่ไม่ลงตราประทับในพาสปอร์ตอีกต่อไปแล้ว และในอีกไม่นาน บางประเทศรวมทั้งสิงคโปร์ จะยกเลิกการใช้พาสปอร์ตที่เป็นเล่มเลยด้วยซ้ำ เมื่อเร็วๆนี้ ประเทศสิงคโปร์ได้ประกาศว่า มีการแนะนำ "ระบบตรวจคนเข้าเมืองอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้หนังสือเดินทาง" โดย Dr. Ahlawat, และในบทความยังได้แสดงรายละเอียดของหนังสือรับรองไว้ด้วย ซึ่งผมแนะนำว่าทุกคนควรที่จะไปอ่านที่ abc.net.au) Dr. Ahlawat ได้กล่าวว่า มันดูเหมือนว่าในอนาคต พาสปอร์ตที่เป็นเล่มจะหายไปอย่างสิ้นเชิง ภายใน 10 ปีข้างหน้าหนังสือเดินทางที่เป็นเล่มจะถูกแทนที่ บนพื้นฐานของการทดลองใช้พาสปอร์ตดิจิตอล อย่างไรก็ตาม ท่านได้กล่าวต่อว่า มันไม่ใช่การอัพโหลดหนังสือเดินทางของเราไว้ในโทรศัพท์มือถือเหมือนอย่างกับที่เราทำกับบัตรเครดิต “เพราะ แบตเตอรี่อาจหมด หรือมือถืออาจหาย หรืออยู่ในบริเวณที่ไม่สามารถจะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ในบางประเทศ" 

สิ่งแรกที่ผมคิดเมื่อผมอ่านบทความนั้นก็คือ "เรากำลังจะจัดการทำทุกอย่างให้เป็นระบบดิจิตอลแต่ไม่สามารถที่จะเก็บข้อมูลไว้ในมือถือ" ผมก็เริ่มคิดในใจว่า - ผมอาจจะคิดอะไรแปลกๆไม่เหมือนคนอื่นนะ ไม่รู้สิ แต่อย่างแรกที่ไม่ถามคงไม่ได้ก็คือ "ทำไมไม่ฝังชิพในร่างกายซะเลย?" นั่นคือสิ่งที่ผมคิดเมื่อผมอ่านบทความนี้ พูดกันตรงๆ ผมทำงานด้านการเข้าเมืองของสหรัฐฯมา 16 ปี อาจจะ 17 ปีแล้วมั้ง ในระยะเวลาหลายปีนั้นผมต้องเจอกับหลายแง่มุมที่เกี่ยวกับระบบการเข้าเมือง และก็หลายปีเหมือนกันที่ผมทำเกี่ยวกับระบบการเข้าเมืองของไทย แม้จะไม่นานเท่ากันก็ตาม แต่ก็ถือว่าผมมีความคุ้นเคยกับเรื่องระบบการเมืองมากทีเดียว และผมก็รู้ว่า เรื่องการเข้าเมืองมันเป็นเรื่องที่กร้าวร้าวในระดับหนึ่ง คุณจะไม่มีความเป็นส่วนตัวเหลืออยู่เลยในเรื่องนี้ ผมไม่เคยมีปัญหากับประเด็นนี้เพราะประเทศที่มีอธิปไตย สามารถที่จะตัดสินใจเองได้ว่าจะให้ใครเข้าประเทศและจะให้เข้าด้วยเงื่อนไขแบบไหน ซึ่งก็ไม่เคยก่อให้เกิดปัญหากับผมแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ทำให้ผมหงุดหงิดตอนนี้คือ 1) ไม่มีใครเรียกร้องสิ่งนี้เลย ผมมองไม่เห็นเลยว่าทำไมจะต้องมีการติดตามด้วยชีวมาตรที่เป็นดิจิตอล รวมทั้งเรื่องกระเป๋าตังค์ดิจิตอลและสิ่งอื่นๆเพิ่มขึ้นมา เพราะในความเป็นจริง ตอนนี้เหมือนเริ่มชัดเจนขึ้นสำหรับผมแล้วว่า ทั้งหมดนี้มันเป็นความพยายามที่จะรวมหัวกันทำให้มนุษย์อยู่ในระบบดิจิตอล เพื่อที่จะสามารถติดตามเขาเหล่านั้นด้วย "นามแฝงดิจิตอล" ที่จะติดตัวทุกคนไปทั่วโลก ผมหมายถึง ถ้ามีเหตุผลดีๆสักข้อ ตัวผมเองก็จะไม่มีปัญหาใดๆกับประเทศสิงคโปร์ แต่ถ้าหากเอานโยบายเหล่านี้มานำหน้า ผมคิดว่าผมคงไม่อยากไปเที่ยวที่นั่นอีกต่อไปแน่นอน ยุโรปก็เช่นเดียวกัน ผมก็คงไม่ไปเหมือนกัน ซึ่งผมก็คิดว่าน่าเศร้าอยู่พอสมควร เพราะผมต้องการที่จะไปดูสถานที่สำคัญๆทางวัฒนธรรมที่นั่น ผมอยากจะไปเที่ยวที่นั่น แต่พูดตามตรง ถ้าจะต้องผ่านกระบวนการควบคุมผู้คนขนานใหญ่แบบนั้น ผมไม่คิดว่าผมจะสนใจกับการท่องเที่ยวแบบนั้นเลย 

สิ่งที่ผมกำลังจะบอกคือ ผมมองไม่ออกเลยว่าสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์เพิ่มมากขึ้นอย่างไร นอกจากจะเป็นเพียงการติดตามผู้คน ซึ่งทำให้รู้สึกว่าก็ไม่ต่างอะไรกับปศุสัตว์ อะไรประมาณนั้น ซึ่งน่ากลัวมาก ทุกอย่างกำลังมุ่งไปสู่การจดจำใบหน้า การตรวจชีวมาตร ที่จริงผมก็เข้าใจว่า ทุกประเทศ ยกตัวอย่างเช่นประเทศไทย ไม่ต้องการให้คนที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร เดินทางเข้าประเทศ สิ่งนี้ผมเข้าใจ แต่ภาพใหญ่ของการดำเนินการคือการที่จะทำให้ทุกคนอยู่ในระบบดิจิตอล แล้วนำไปวางไว้ในอะไรซักอย่าง ซึ่งผมเองก็ยังนึกคำที่จะมาใช้เรียกไม่ถูกเหมือนกัน ประมาณว่า ”เอกภพดิจิตอล” ก็แล้วกัน การทำแบบนั้นมันมากเกินไปจริงๆในแง่ของของการพินิจพิเคราะห์ความถูกต้องเป็นจริง หรือในแง่ของการขาดความเป็นส่วนตัว มันมากกว่าทุกสิ่งที่เราเคยเห็นในสมัยสหภาพโซเวียตเสียอีก เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้นในประเทศจีน และสิ่งที่ผมไม่ชอบคือวิธีการที่สื่อนำมาพูด เพราะผมอ่านบทความมากมายและสื่อมักจะพูดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยังไงก็ต้องเกิดขึ้น - ซึ่งไม่ใช่เลย ในสมัยที่โควิดระบาด มีเรื่องราวมากมายหลายอย่างที่ถูกกำหนดว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ว่าสื่อจะกล่าวยังไงก็ตาม ในที่สุดก็ไม่ได้เป็นตามนั้น อีกสิ่งหนึ่งที่สื่อชอบพูดว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้สามารถเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องมีหลักฐานหรือคำอธิบายใดๆว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งก็ไม่ใช่เช่นกัน ผมมองเห็นประโยชน์ของเรื่องดิจิตอลนี่เหมือนกัน แต่ในเวลาเดียวกันมันก็มีข้อเสี่ยมากจริงๆ สิ่งที่ผมรู้สึกวิตกกังวลจริงๆก็คือเรื่องเงินดิจิตอล ใช่ ผมเข้าใจในประเด็นระหว่างธนาคารกลางกับธนาคารกลางด้วยกัน ซึ่งผมจะไม่ลงลึกในรายละเอียด; แต่ก็มีเรื่องที่จะต้องถกเถียงกันเกี่ยวกับเครื่องมือดิจิตอลที่จะนำมาใช้ แต่ในโลกของมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันแล้ว มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย เงินสดยังคงใช้การได้ และไม่มีเหตุผลใดที่จะกำจัดมันทิ้ง แต่ในกรณีของหนังสือเดินทางที่เป็นเอกสาร ถ้าเป็นอย่างที่เขาพูดคือ ไม่สามารถที่จะโหลดเก็บไว้ในมือถือได้ ดังนั้นถ้าหากทำให้พาสปอร์ตเป็นดิจิตอลแล้วจะเก็บมันไว้ที่ไหน คราวนี้ก็มาถึงตรงที่ว่า หรือนี่จะเป็นเรื่องในลำดับถัดไปที่เราจะเจอในปี 2025 ก็คือที่ว่า ”พาสปอร์ตดิจิตอลเหล่านี้ยากมากที่จะเชื่อมต่อเข้ากับระบบมือถือของผู้คนได้ งั้นเราก็ฝังชิพใส่ให้กับทุกคนก็แล้วกัน!" ผมขอถามจริงๆว่า มีใครมั่งที่คิดว่าเรื่องเหล่านี้จะเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของเหตุผล หลังจากที่เราได้เห็นสิ่งบ้าๆหลายอย่างเกิดขึ้นใน 3 ปีที่ผ่านมา ผมว่ามันไม่เกินความเป็นไปได้ เพราะมีหลายอย่างที่ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิงเกิดขึ้นในปี 2020 ซึ่งถ้าใครมาพูดกับผม ผมต้องพูดว่าคนนั้นเป็นคนหนึ่งที่ฟั่นเฟือนไปแล้ว เช่นเรื่องวัคซีนพาสปอร์ตเป็นต้น และถ้าหากต้องนำมาใช้จริงๆมันจะยากแค่ไหนถ้าหากพาสปอร์ตเรากลายเป็นสิ่งที่เป็นดิจิทัลไปแล้ว 

เพราะฉะนั้น ผมไม่ได้พยายามที่จะทำวีดีโอเพื่อโวยวายในเรื่องต่างๆ ผมเพียงแต่หวังว่าจะมีคนที่คิดเรื่องนี้ แม้แต่คนในรัฐบาลก็ตาม ใครก็ตามที่กำลังชมวิดีโอนี้อยู่ ผมไม่ได้ทำวิดีโอนี้แบบคนขวางโลก แต่ผมทำเพราะผมมองเห็นว่าเรื่องนี้จะแตกแขนงออกไปทั้งทางบวกและทางลบมากมาย และสิ่งที่ผมต้องการบอกคือ ผมคิดว่าผลทางลบนั้นมีน้ำหนักมากกว่าผลทางบวกและมันจะไม่ใช่สถานการณ์ที่ไม่ดีเฉพาะผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องเท่านั้น ทุกคนจะต้องเจอสถานการณ์ที่ไม่ดีด้วยกันทุกคน ผมไม่คิดว่าจะมีใครชื่นชอบในผลที่จะได้รับ ผมมองว่ามันเหมือนกับเรื่องเงินดิจิตอลซึ่งในทางทฤษฎีแล้วมันฟังดูดี เหตุผลที่ฟังดูดีก็เพราะพวกเขาไม่คิดว่าจะเกี่ยวกับตัวเอง แต่ถึงที่สุดแล้ว ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องของความเย่อหยิ่งอวดดี ที่ทำให้หลายคนไม่นำมาคิดในขณะที่พูดว่า "ในทางทฤษฎีแล้ว มันดูเหมือนจะเป็นความคิดที่ดีทีเดียว" คำถามของผมคือ คุณต้องการที่จะถูกติดตามบนพื้นฐานของข้อมูลลายนิ้วมือ การจดจำใบหน้าหรือการสแกนม่านตาของคุณ หรือคุณเพียงแต่ต้องการใช้หนังสือเดินทางเพื่อข้ามแดนเท่านั้น?