Integrity Legal - Law Firm in Bangkok | Bangkok Lawyer | Legal Services Thailand Back to
Integrity Legal

Legal Services & Resources 

Up to date legal information pertaining to Thai, American, & International Law.

Contact us: +66 2-266 3698

info@integrity-legal.com

ResourcesThailand Real Estate & Property LawJurisprudenceรัฐบาลเมินเฉยต่อความคิดเห็นของคนไทยในเรื่องดิจิทัลวอลเล็ทหรือเปล่า?

รัฐบาลเมินเฉยต่อความคิดเห็นของคนไทยในเรื่องดิจิทัลวอลเล็ทหรือเปล่า?

For the English transcript of this video, please go to the following link:

https://www.legal.co.th/resources/thailand-real-estate-property-law/jurisprudence/government-ignoring-thai-opinions-digital-wallet/

อย่างที่จั่วหัวไว้ วันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่องดิจิทัลวอลเล็ทกันอีกครั้ง มีหลายคนถามผมว่า "ว่ากันตามจริง เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในกรอบการทำงานของคุณไม่ใช่หรือ?" ผมคิดว่ามันอยู่นะ แต่มีหลายคนที่บอกว่า "มันไม่ใช่แก่นแกนในการทำวีดีโออย่างที่คุณทำตลอดมา ทำไมถึงเป็นกังวลกับเรื่องนี้จัง?" ผมกังวลกับเรื่องนี้ก็เพราะมันมีความสำคัญอย่างมาก จริงๆแล้ว มันมีความสำคัญอย่างยิ่งเลยทีเดียว

เข้าเรื่องเลยดีกว่า ผมอาจจะกำลังพูดถึงทั้งสหรัฐฯและประเทศไทยก็ได้ หรือแม้แต่ที่อื่นที่ผมอาจจะไปอยู่อาศัยสักวันหนึ่ง แม้ว่าผมจะไม่มีความต้องการที่จะไปจากประเทศไทยแม้แต่น้อยก็ตาม แต่โดยสรุปแล้ว ในประเด็นของดิจิตอลวอลเล็ทหรือเงินดิจิตอล ถ้าไปถึงจุดนั้นเมื่อไหร่ ก็หมายความว่าเรากำลังถูกเฝ้าติดตามทุกย่างก้าว ในความคิดของผมมันเป็นลัทธิเผด็จการอย่างแท้จริง ผมหมายถึงประโยคที่ น่าจะเป็น Nathan Rothschild ที่ได้กล่าวไว้ว่า: "ให้ผมควบคุมเงินตราของประเทศสิ ผมจะไม่สนใจเลยว่าใครคือผู้ออกกฎหมาย" มีการกล่าวไว้ว่า เงินตรานั้นเสมือนกับเส้นเลือดของเศรษฐกิจ ยิ่งไปกว่านั้น เงินตราเสมือนกับเส้นเลือดขององค์กรทางการเมืองเลยก็ว่าได้ สำหรับผมแล้วมันน่าสนใจที่คำนี้เกือบจะเหมือนคำศัพท์เฉพาะทางที่เกี่ยวกับทะเล คือเงินตรานั้นจะเหมือนกระแสน้ำในแม่น้ำ หรือในทะเล ที่มันจะลากเอาสิ่งต่างๆไปด้วย เวลาน้ำขึ้นน้ำลงมันก็จะดึงเอาสิ่งต่างๆตามไปด้วย นั่นคือเหตุผลที่ผมเป็นห่วงกังวลกับเรื่องนี เพราะมันจะมีผลกระทบอย่างกว้างขวางทั่วทั้งสังคม นั่นแหละคือสิ่งที่ผมกังวล 

อย่างไรก็ตาม ผมคิดจะทำวีดีโอเรื่องนี้หลังจากที่ผมได้อ่านบทความจาก Bangkok Post, bangkokpost.com, หัวข้อว่า: On the edge of a precipice? เรายืนอยู่ที่ขอบเหวหรือเปล่า? ขอยกข้อความโดยตรงมาดังนี้: ”ผู้บริหารเกือบทั้งหมดเชื่อว่าเศรษฐกิจไม่ได้เข้าใกล้ระดับวิกฤตตามที่รัฐบาลกล่าวอ้างแต่อย่างใด รอยปริแยกทางความคิดนี้ได้เผยออกมาให้เห็น ในช่วงที่มีการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยในเรื่องแผนงานดิจิตอลวอลเล็ทที่ทางธนาคารได้เรียกร้องให้มีความระมัดระวังเกี่ยวกับโครงการที่ต้องใช้เงินถึง 560,000 ล้านบาท " กล่าวต่อ: "ผลจากการทำโพลโดย NIDA พบว่าประชาชน 68.8% ไม่รู้สึกผิดหวังเลยถ้าหากรัฐบาลจะยกเลิกโครงการนี้ แต่รองนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย ยืนยันว่า โครงการนี้จะเดินต่อไปตามทางของมันจนครบขั้นตอนทางการเมือง" กล่าวต่อ: "ฝ่ายภาคเอกชนได้ออกมาแสดงความคิดเห็น โดยบางคนแนะนำว่ารัฐบาลควรจะมองหามาตรการอื่นๆ แทนที่จะเกาะติดอยู่กับโครงการดิจิตอลวอลเล็ท 

ผมว่าสิ่งนี้น่าทึ่งมาก คือทุกครั้งที่มีคนเตือนว่า "วิธีนี้อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำ" คำตอบที่ได้ก็จะมีแต่ว่า "เราจะเดินหน้าต่อ!" เออก็ได้ ขอบใจนะ เราจะมีสภาไว้ทำไม ถ้าหากมีผู้คนพูดว่า เฮ้ย! สิ่งที่คุณพยายามทำอยู่น่ะ เราไม่จำเป็นต้องเห็นชอบไปซะทุกส่วนนะ และนอกจากนั้นยังมีข้อห่วงกังวลหลักทางด้านการคลังอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่รัฐสภาควรจะกังวลเป็นข้อหลักคือนโยบายด้านการคลังนี่แหละ ผมเคยกล่าวถึงประเด็นนี้ก่อนหน้านี้แล้วด้วย เรากำลังพูดถึงการเพิ่มขึ้นอย่างมากของอัตราส่วนระหว่างหนี้สาธารณะต่อ GDP ของประเทศ เมื่อนำโครงการนี้เข้าสู่การปฏิบัติ ท้ายที่สุดแล้ว ผมยังมองไม่เห็นว่ามันจะเป็นเงินกู้ได้อย่างไร เพราะตามที่ได้มีการหารือกันในประเด็นนี้นั้น รัฐบาลจะต้องกู้เงินมาใช้กับโครงการนี้ นการกู้ยืมเงินนั้น จะต้องเกิดสิ่งที่มีสิ่งที่มีคุณค่าตอบแทนกลับมา เท่าที่เข้าใจ เราจะทำการกู้เงิน แต่สิ่งที่มีค่าที่เราได้กลับมาคืออะไร เงินตราที่แท้จริงอยู่ที่ไหน? ไม่มีเลย เราได้แต่เงินดิจิตอล ไอ้เหรียญ token เหล่านี้แหละ ที่พวกเขาสามารถควบคุมได้ว่าเราจะใช้จ่ายได้ที่ไหน ในรัศมีกว้างไกลแค่ไหน และซื้ออะไรได้บ้าง สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่คำจำกัดความของคำว่าเงินตรา; คือมันไม่ใช่คำจำกัดความของเงินในความหมายดั้งเดิม หรือความหมายตามกฎหมาย เลย แล้วอีกอย่างหนึ่ง คือคำจำกัดความของคำว่า“เงินกู้” คุณจะได้เงินกู้มาได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีการแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่มีค่า?มันเหมือนกับใบเสร็จที่สร้างขึ้นมาจากอากาศก็ว่าได้ ขอพูดอีกครั้งว่า ผมไม่เข้าใจจริงๆ ผมหมายถึงกลุ่มธุรกิจที่เคยออกมาบอกว่า "เราอยากจะนำประเด็นนี้กลับมาศึกษาอีกครั้งหนึ่ง" ซึ่งตอนนี้ธนาคารกลางก็ได้แสดงข้อห่วงกังวลต่อเรื่องนี้แล้ว แต่คำตอบที่ได้คือ "เราไม่สนใจหรอก" ผมว่ามันแย่มากเลย และผมไม่เข้าใจว่า อย่างน้อยที่สุดทำไมถึงไม่มีการถกแถลงกันระหว่างผู้คนที่มีความเข้าใจอย่างดีว่าระบบการเงินมันทำงานอย่างไร หรือไม่ก็ แค่ไม่ทำเรื่องนี้แล้วก็ปล่อยให้ระบบการเงินมันทำงานอย่างที่เป็นมา เท่าที่ผมรู้ก็คือ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ที่ผู้คนจะนำเงินตราไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าและบริการโดยที่รัฐบาลไม่ได้ต้องเข้ามาบอกว่า "คุณจะใช้เงินนี้ได้ที่ไหนบ้าง หรือคุณจะซื้ออะไรได้บ้าง" ผมอยากจะถามอีกครั้งว่า มันจะเป็นความคิดที่ดีกว่าไหมที่จะใช้ระบบที่เราเคยใช้มาตลอด แล้วก็เดินหน้าต่อไป แทนที่จะนำประเทศชาติไปสู่ภาวะการมีหนี้สินอย่างมีนัยยะสำคัญ