Integrity Legal - Law Firm in Bangkok | Bangkok Lawyer | Legal Services Thailand Back to
Integrity Legal

Legal Services & Resources 

Up to date legal information pertaining to Thai, American, & International Law.

Contact us: +66 2-266 3698

info@integrity-legal.com

ResourcesThailand Real Estate & Property LawJurisprudenceรัฐบาลไทยมีนโยบายที่จะฆ่า"ห่านทองคำ"ทิ้ง จริงหรือ?

รัฐบาลไทยมีนโยบายที่จะฆ่า"ห่านทองคำ"ทิ้ง จริงหรือ?

For the English transcript of this video, please go to the following link: 

https://www.legal.co.th/resources/thailand-real-estate-property-law/jurisprudence/it-thai-government-policy-execute-golden-geese/

หัวข้อของวีดีโอเรื่องนี้อาจจะไม่ได้อธิบายถึงสิ่งที่เรากำลังจะพูดได้อย่างมากมายนัก แต่โดยสรุป ช่วง2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมไม่ได้พูดในประเด็นเกี่ยวกับกัญชาสักเท่าไหร่ เพราะในเวทีการเมือง ก็ยังมีเพียงการโต้กันไปโต้กันมาเท่านั้น แต่เหตุผลที่ผมทำวีดีโอเรื่องนี้คือผมต้องการที่จะสรุปว่าณ.เวลาที่ทำวีดีโอม้วนนี้ เรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว ซึ่งวันที่ทำวีดีโอนี้คือวันที่ 15 มกราคม 2567 และผมจะออกสื่อในบ่ายวันนี้ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน จากจุดที่เราอยู่ตอนนี้ ผมกำลังคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ขอย้ำว่า นี่เป็นแค่ประเด็นความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น

อย่างที่บอก ขอเริ่มจากหนังสือพิมพ์ Bangkok Post, bangkokpost.com,ในหัวข้อเรื่องว่า: Weed advocates slam control bill. กลุ่มที่สนับสนุนกัญชารุมถล่มร่างกฎหมายควบคุมกัญชา ขอยกข้อความโดยตรงจากบทความดังนี้: "กลุ่มที่สนับสนุนการทำให้กัญชาถูกกฎหมายได้โจมตีต่อการตัดสินใจของ รัฐมนตรีสาธารณสุข นายชลน่าน ศรีแก้ว ที่ให้การรับรองต่อร่างกฎหมายควบคุมกัญชาและกัญชงฉบับใหม่ โดยไม่ได้ปรึกษาภาคประชาสังคม ตามที่ได้เคยสัญญาไว้" กล่าวต่อ: "นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล เลขาธิการของเครือข่ายกัญชาแห่งอนาคตของประเทศไทย ได้กล่าวใน Facebook ว่า รัฐมนตรีไม่รักษาสัญญาว่าจะนำร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การอภิปรายสาธารณะก่อนส่งต่อให้คณะรัฐมนตรี" อันนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง แล้วเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง มีบางอย่างเกิดขึ้นมากมาย กล่าวต่อ: "นอกจากนี้เขายังได้ชี้ถึงความไม่สอดคล้องกันในความพยายามของรัฐบาลที่จะควบคุมกัญชา, ยาบ้าและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์" ตรงนี้ผมอ่านแล้วตกใจ เรื่องเกี่ยวกับยาบ้า ตรงนี้ผมงงคือ "รอเดี๋ยว? อะไรนะ?" ผมขอกล่าวต่อ: "แม้ว่ากัญชาจะถือเป็นสมุนไพรตามกฎหมายแล้วก็ตาม แต่การใช้กัญชาจะต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ภายใต้ร่างกฎหมายฉบับใหม่ ในขณะเดียวกัน การครอบครองยาบ้าไม่เกิน 5 เม็ดไม่ถือว่าเป็นความผิดทางอาญา ถึงแม้จะถูกจัดว่าเป็นยาเสพติดก็ตาม" ดังนั้น คงจะต้องเริ่มด้วยการอธิบายถึงเบื้องหลังของเรื่องนี้ก่อน ซึ่งเราก็เคยทำวีดีโอในประเด็นนี้มาแล้ว 

ประเทศไทยได้ถอดถอนกัญชาออกจากรายการยาเสพติดและถูกจัดประเภทใหม่ให้เป็นพืชสมุนไพร โดยอยู่ภายใต้จำพวกยาไทยแผนโบราณ ผมมองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องในแง่ที่ว่า เป็นการสะท้อนถึงความเป็นจริงที่ว่า ถึงที่สุดแล้วกัญชาก็คือพืชสมุนไพร ที่มีส่วนประกอบบางอย่างที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท อันเป็นผลเนื่องจากสาร THC ในกรณีที่บริโภคกัญชาชนิดที่มีสาร THC ซึ่งไม่ใช่ว่ากัญชาทุกชนิดที่จะมีสารนี้ ถึงกระนั้นก็ตาม ด้วยคุณสมบัติบางอย่างทำให้มันถูกจัดเป็นเป็นพืชสมุนไพร แต่เป็นสมุนไพรที่มีการควบคุม คืออยู่ภายใต้กฎระเบียบเฉพาะอันหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันการจำหน่ายกัญชาให้แก่ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีถือว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ประเทศไทยถือว่าอายุ 20 ปีเป็นเกณฑ์ของการบรรลุนิติภาวะ ซึ่งสามารถดื่มเครื่องดื่มได้ นอกจากนี้ การจำหน่ายกัญชาให้ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ก็ผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน ขอย้ำว่าตอนนี้มีข้อห้ามข้อจำกัดและมีการวางกรอบการกำกับดูแลในเรื่องนี้แล้ว และมีเสียงเล่าลือมากมายในประเด็นนี้ว่าทุกอย่างก็ยังไม่แน่ไม่นอน ยังไม่มีกฎระเบียบ ต้องบอกว่ากฎระเบียบมีแน่ และตอนนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายแล้ว ผมก็ยังเห็นคนพูดกันว่า "เอาล่ะ ตอนนี้กัญชามันถูกทำให้ไม่ผิดกฎหมายแล้ว" ไม่ใช่ครับ มันไม่ได้ถูกทำให้ไม่ผิดกฎหมาย แต่มันเป็นของที่ถูกกฎหมายตะหาก สิ่งที่เรากำลังพูดถึงอยู่ตอนนี้คือ ร่างกฎหมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะทำให้กัญชากลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายอีกหรือไม่  หรือการกระทำกิจกรรมบางอย่างเกี่ยวกับกัญชาจะถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายอีกหรือไม่  ในขณะที่ยาบ้ายังคงได้รับการพิจารณาว่าเป็นสารเสพติด ซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ผมครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาระยะหนึ่ง และผมกำลังมองหาหลักการง่ายๆเพื่อที่จะแยกแยะความแตกต่าง หรือระดับที่แตกต่างกันก็ว่าได้ ว่าอะไรคือยาเสพติดและอะไรที่ไม่ใช่ และหลักการหยาบๆที่ดีที่สุดที่ผมหาได้ในคำจำกัดความของคนธรรมดาๆที่ไม่ได้มีความรู้ความเชี่ยวชาญอะไร และก็ไม่ได้ใช้ศัพท์เฉพาะทางที่ว่า ไอ้นี่คืออะไรไอ้นั่นคืออะไร แต่เป็นเพียงหลักการง่ายๆที่ใช้อย่างมีสามัญสำนึกที่ผมคิดขึ้นมาได้ก็คือ ผมมองว่า ยาเสพติดนั้นสามารถฆ่าคนได้ ถ้าหากใช้อย่างไม่เหมาะสม สำหรับในกรณีของกัญชา ผมไม่คิดว่ากัญชาจะถือเป็นยาเสพติดได้ ชี้ให้ผมเห็นหน่อยสิว่ามีใครต้องเสียชีวิตเพราะกัญชาบ้าง และผมรับรองได้ว่าการที่เร่งรีบออกมาต่อต้านกัญชานั้น ดูเหมือนจะมีกลุ่มคนที่พยายามทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเองโดยยกเรื่องความรักชาติมาบังหน้า ซึ่งเราเคยเห็นในช่วงโควิด ผมไม่เข้าใจเลยว่าแรงกระตุ้นในเรื่องนี้มาจากไหน ดูเหมือนจะเป็นพวกที่ไม่ชอบความมีอิสระ เขาจะมีปัญหาเกี่ยวกับการที่ผู้คนจะมีอิสระหรือสิ่งที่ผมเคยพูดไว้ในวีดีโอเรื่องอื่นเกี่ยวกับ "เสรีภาพเชิงลบ” คือการที่มีอิสระจากการควบคุมภายนอก ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพเชิงบวก” ซึ่งเป็นคนละเรื่องเลย ผมจะไม่ลงไปในรายละเอียดของเรื่องนี้ เพียงแต่ คำว่า “เสรีภาพเชิงลบ” นั้น คือสิทธิในการที่จะสามารถอยู่ตามลำพังได้ ตราบใดที่ไม่ได้ทำร้ายคนอื่น คุณก็ควรที่จะถูกปล่อยให้รับผิดชอบตัวเองได้ และผมเห็นว่าประเด็นของกัญชาจะทำให้เห็นประเด็นนี้ชัดมาก กลับมาที่คำถามที่ว่า กัญชาเคยทำให้ใครเสียชีวิตบ้างไหม? ซึ่งอันนี้ผมไม่ได้ถามแบบตีสำนวนโวหารนะ มีใครในคอมเม้นข้างล่างที่สามารถจะชี้ให้ผมเห็นได้ว่ามีคนที่เสียชีวิตจากการใช้กัญชาเกินขนาดบ้างไหม  ซึ่งผมเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกันมีกี่คนที่เสียชีวิตจากการใช้ยาบ้า? ผมไม่ค่อยได้พูดเรื่องชีวิตส่วนตัวของผมหรือประวัติของผมมากมายนักในช่องรับฟังนี้ แต่ผมขอเล่านิดนึงเกี่ยวกับตัวเองและที่เกิดของผม ผมมาจาก Kansas ที่ซึ่งพ่อของผมเป็นผู้พิพากษาอยู่ 30 ปีและผมก็มั่นใจว่าคงจะต้องเคยตัดสินคดีเกี่ยวกับกัญชามานับไม่ถ้วน ซึ่งตอนนนั้นกัญชายังเป็นสิ่งผิดกฎหมายอยู่ และตลอดหลายปีนั้น ผมเคยถามพ่อเป็นบางครั้งบางคราวว่า "พ่อคิดว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นอันตรายร้ายแรงที่สุดในสังคม?" และหนึ่งในนั้น ซึ่งก็มีอย่างอื่นรวมอยู่ด้วย รวมทั้งการที่เด็กๆตกเป็นเหยื่อ ที่เราเคยพูดถึงในวีดีโอเรื่องอื่นแต่จะขอทิ้งไว้ก่อน ขอพูดตรงประเด็นนี้ก่อน พ่อตอบย้ำๆหลายครั้งว่า "ยาบ้าทำลายมนุษย์" และผมจำได้ว่าพ่อพูดประมาณว่า "มันจะดูดวิญญาณออกมาจากตัวเลย" มันจะทำให้มนุษย์เหลือเพียงแค่เปลือกภายนอก และจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้ยาเม็ดต่อไป ซึ่งคำเปรียบเปรยนั้นไม่สามารถจะนำมาอธิบายถึงผู้ที่ใช้กัญชาได้เลย ในความเป็นจริงมีหลายอย่างที่คุณใช้อธิบายได้กับคนที่ใช้กัญชา คุณอาจจะพูดได้ว่า เขาจะสูญเสียความทะเยอทะยานของเขาไป เขาค่อนข้างจะเชื่องๆ คนที่ใช้กัญชาเป็นเวลานานมักจะถูกระบุว่าเป็นคนเกียจคร้าน ซึ่งเป็นไปได้หมด แต่มันฆ่าใครหรือเปล่า? และคุณสมบัติที่กล่าวมาทำร้ายใครหรือเปล่า? เพราะฉะนั้นกลุ่มคนที่ออกมาโวยวายเกี่ยวกับกัญชาแต่ในขณะเดียวกันกลับทำเป็นเฉยเมยกับยาบ้า ผมว่านอกจากมันจะไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยแล้ว ในความคิดของผม ไม่ว่าจะมองในมุมไหน มันก็ยังเป็นนโยบายที่แย่มากอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม, กล่าวต่อ: "ยาบ้าได้ทำลายชีวิตผู้คน แต่ผู้คนก็ยังสามารถครอบครองได้ การดื่มสุราได้รับการสนับสนุน (ในทางอ้อม) ด้วยการขยายระยะเวลาการให้บริการของสถานบันเทิง ถ้าหากนโยบายของกระทรวงตั้งอยู่บนผลประโยชน์ทางการเมืองแทนที่จะตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง เราก็จะทำอย่างอื่นต่อไปมากกว่านี้" เพราะฉะนั้นนี่ก็คืออีกมุมมองหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะมีการเคลื่อนไหวอยู่ภายนอกประมาณนี้ ผมเห็นในบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ที่พูดว่า ดูเหมือนจะผลประโยชน์ในเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในแวดวงธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งต่อต้านการใช้กัญชาดูเหมือนจะถูกผลักดันด้วยความจริงที่ว่า การจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจลดปริมาณลงเมื่อลูกค้าหันมาใช้กัญชาแทน เอาล่ะ เห็นได้จากหัวข้อข่าวซึ่งผมก็จะไม่นำมากล่าวในที่นี้ แต่ก็ได้มีการลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงไปเรียบร้อยแล้วระดับหนึ่ง และถ้ามันเป็นข้อห่วงใยของใครบางคนที่เกี่ยวกับผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจถูกพิจารณาว่าไม่ใช่ตัวเลือกอื่นที่ดีกว่าสำหรับผู้ที่ต้องการเสพอะไรสักอย่าง การใช้นโยบายด้านภาษีก็อาจจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง อย่างที่ผมเคยพูดไว้ในวิดีโอม้วนอื่นๆ ผมคิดว่าประเทศไทยควรจะเก็บภาษีกัญชาในอัตราสูง และรายได้เหล่านั้นนำมาใช้กับบริการสาธารณสุขหรือสิ่งก่อสร้างที่เป็นสาธารณูปโภค เช่น นำเงินนั้นไปใช้ในการรักษาผู้คนที่มีปัญหาเรื่องการติดยา หรือแม้การติดแอลกอฮอล์ก็เป็นได้ ซึ่งน่าจะเป็นความคิดที่ดีที่จะนำกองทุนนั้นไปใช้ แต่การสร้างฐานภาษีของกัญชาขึ้นมา ก็อาจทำให้เกิดส่วนต่างขึ้นในตลาด โดยอาจจะไปทำให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้กำไรเทียบเท่ากันก็ว่าได้  ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถนำมาใช้กับเรื่องทั้งหมดนี้ได้

บทความกล่าวต่อไปอีกว่า: "กระทรวงสาธารณสุขกำลังหาวิธีการควบคุมการใช้กัญชา ด้วยวีธีที่คล้ายกับการดำเนินการต่อยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งในปีที่แล้วได้ทำให้คนเสียชีวิตมากกว่า 100,000 คนและ 4 หมื่นคนตามลำดับ" กล่าวต่อ: "ถึงแม้ยาสูบและแอลกอฮอล์จะมีอันตรายและความเสี่ยง ทั้งต่อสุขภาพของตัวผู้เสพเองและต่อสาธารณะด้วยก็ตาม แต่สารทั้ง 2 ประเภทนี้ก็ได้รับอนุญาตให้ใช้เพื่อการบันเทิง" ครับ นี่เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เราได้ยินคนพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า "เราไม่ต้องการให้มีการใช้กัญชาในการสันทนาการ!" เพราะเหตุใด? ผมเคยกล่าวแล้วว่า สุรานั้นฆ่ามนุษย์ และยาสูบก็ฆ่ามนุษย์ แต่ก็ยังปล่อยให้ใช้เพื่อสันทนาการได้ ขอบอกอีกครั้งหนึ่งว่า ผมไม่เข้าใจพวกผู้คนที่ปัญหาใหญ่ของพวกเขามีแค่เรื่องเสรีภาพต่อตัวเอง ฟังนะ นี่ไม่ใช่เป็นการถกเถียงของพวกเสรีนิยมสุดโต่ง ที่ตะบี้ตะปันเสนอให้เฮโรอีนเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายซะเมื่อไหร่ นั่นเป็นข้อถกเถียงที่ยากมาก เพราะเด็กๆสามารถที่จะนำมาเสพแล้วก็ถึงกับความตายได้ทันทีเลย คือใครก็ตามที่เสพเฮโรอีน ก็เท่ากับฆ่าตัวตายทันทีนั่นเอง เพราะฉะนั้นคุณจะต้องวิเคราะห์ต้นทุน-กำไรอย่างมีสามัญสำนึก และเมื่อกลับมาพูดถึงกัญชา มันมีการวิเคราะห์แบบนี้หรือเปล่า? ขอพูดอีกครั้งหนึ่งว่า กัญชาไม่ได้ฆ่าใคร และในขณะเดียวกันการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการก็ไม่ได้สร้างปัญหาต่อสุขภาพของผู้คนหรือต่อสาธารณะแต่อย่างใด ในขณะที่ยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กลับสามารถนำมาใช้เพื่อสันทนาการได้! มันมีเหตุผลอย่างไรที่จะควบคุมสารประเภทหนึ่งอย่างเข้มงวด ซึ่งถ้าหากมาทำการวิเคราะห์ต้นทุน-กำไรแล้ว จะเห็นว่า อัตราส่วนกำไรนั้นสูงกว่าต้นทุน แต่คุณก็ยังพูดว่า "ใช้เพื่อสันทนาการไม่ได้” ในขณะที่สิ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถฆ่าคนได้ แต่คุณกลับบอกว่าสามารถที่จะนำมาใช้เพื่อสันทนาการได้!" มันมีความสัมพันธ์กันโดยตรง นี่ยังไม่ได้พูดถึงยาบ้าเลยนะ บทความยังกล่าวต่อไปอีกว่า: "ในทางตรงกันข้าม กัญชาซึ่งไม่มีส่วนเชื่อมโยงไปถึงการเสียชีวิต กลับถูกห้ามไม่ให้ใช้เพื่อสันทนาการ" ใช่ จริงด้วย กล่าวต่อ: "ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของสาธารณชน แต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของบางคนที่มียอดขายตกต่ำลงอย่างมีนัยยะสำคัญหลังจากหลายคนเปลี่ยนมาใช้กัญชาเพื่อที่จะผ่อนคลายอาการบางอย่างเช่นความเจ็บปวดหรือการนอนไม่หลับ" ตรงนี้เป็นประเด็นที่ดีมาก ใครคือผู้ต่อต้านและเพราะเหตุใด? แน่นอนว่า ผลประโยชน์ของใครก็คือผลประโยชน์ของคนนั้น และผลประโยชน์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ก็เป็นผลประโยชน์ของพวกเขาเช่นกัน ผมเข้าใจว่าอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจจะมีปัญหาเมื่อกัญชาถูกทำให้เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย ยังมีอีก 2-3 ประเด็น อย่างแรกคือ ตัวอุตสาหกรรมสุราเองก็ถูกควบคุมด้วยกฎระเบียบมากมาย และไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจขนาดเล็กมากนัก เพราะฉะนั้นผมก็จะมีปัญหากับประเด็นนี้อยู่พอสมควร แต่เรื่องของกัญชาซึ่งเดี๋ยวค่อยกล่าวต่อในวีดีโอเรื่องนี้ กัญชาได้สร้างธุรกิจเล็กๆมากมายในประเทศไทย และผมยังสามารถพูดได้ว่ากัญชาได้หนุนช่วยภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วยเช่นกัน ซึ่งเดี๋ยวผมจะลงในรายละเอียดหลังจากเสร็จสิ้นจากบทความที่ยกมาอ่านให้ฟังนี้ ทั้งหมดนี้คือประเด็นของการดื่มสุราเพื่อสันทนาการที่ไม่เป็นปัญหา แต่ตอนนี้เรากลับถูกโจมตีในเรื่องการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ และก็เห็นได้ชัดจากบทความนี้ว่า ดูเหมือนจะมีความพยายามที่จะผลักดันสิ่งนี้ให้ผ่านไปโดยที่ไม่มีการอภิปรายสาธารณะ

ที่จริงผมคิดว่าจะรอการทำวีดีโอเรื่องนี้ไว้ก่อน เพราะผมไม่รู้เลยจริงๆว่าเรื่องนี้มันจะเดินต่อไปอย่างไร แต่พอผมเห็นบทความนี้ซึ่ง "อ้าว ดูเหมือนจะมีความพยายามที่จะผลักดันสิ่งนี้ให้ผ่านไปให้ได้" แต่พวกเขาก็บอกว่า มันไม่ใช่อย่างนั้น แค่มาออกความคิดเห็นเฉยๆ ตอนนี้เราถึงต้องมาพิจารณาให้ถี่ถ้วนอีกรอบก่อนที่กฎหมายจะประกาศใช้ เอาล่ะ ไม่ว่าจะมองทางไหน เรื่องการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการที่มันหลอกหลอนผมอยู่นี่ มันไม่เป็นเหตุเป็นผลกับผมเสียเลย โดยเฉพาะในประเด็นที่การใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับยาสูบเพื่อสันทนาการได้รับการพิจารณาว่าไม่เป็นไรแม้แต่น้อย และยังจะคงไว้เช่นนั้น ในขณะเดียวกัน พวกเขาพูดถึงการใช้ยาบ้า โดยไม่คำนึงถึงความจริงที่ว่ายาบ้ายังคงถือว่าเป็นยาเสพติด ยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ กล่าวต่อ: "ในวันเสาร์ นพ.ชลน่าน ได้กล่าวว่า ภายใต้กฎหมายฉบับใหม่นี้ กัญชาไม่สามารถที่จะนำมาใช้เพื่อสันทนาการได้ และการใช้ในบ้านเพื่อการแพทย์จะต้องทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง" เมื่อผมได้ยินเช่นนี้ผมก็ต้องถามอีกว่า เพราะเหตุใด? การใช้เพื่อสันทนาการ ทำไมพวกคุณจึงหมกมุ่นกับสิ่งนี้? ทำไมคุณต้องการที่จะยับยั้งเสรีภาพของคนไทยที่จะทำอะไรก็ได้กับร่างกาย ด้วยบางสิ่งที่ในที่สุดก็ไม่ได้ฆ่าใคร ผมจะเปรียบเทียบได้ว่าเหมือนกับ "เรากำลังจะผ่านกฎหมายเกี่ยวกับการใช้ว่านหางจระเข้, โดยที่การใช้ประโยชน์จากว่านหางจระเข้ในทุกทางจะต้องถูกควบคุม และห้ามใช้ว่านหางจระเข้เพื่อสันทนาการ สามารถนำมาใช้ได้แค่รักษาอาการผิวหนังอักเสบจากการโดนแดดเผา หรืออะไรประมาณนี้เท่านั้น มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย และพูดตรงๆ มันไม่ใช่การเปรียบเทียบระหว่างผลแอปเปิ้ลกับลูกโบว์ลิ่ง ว่านหางจระเข้เป็นพืช กัญชาก็เป็นพืช ทั้งสองอย่างถูกนำมาใช้โดยมนุษย์เพื่อจุดประสงค์ต่างกัน ทั้งสองอย่างใช้เพื่อบำบัดโรค และในความหมายของสันทนาการก็ว่าได้ เพราะมีบางคนที่คลั่งกับการมีผิวที่ชุ่มชื้น ก็ต้องใช้โลชั่นว่านหางจระเข้ตลอดเวลา แล้วเราจะห้ามการกระทำนั้นหรือ? การกระทำอย่างนั้นถือว่าเป็นการใช้ว่านหางจระเข้เพื่อสันทนาการหรือเปล่า? ไม่เอาน่า! ฟังดูแล้วไม่เห็นมีตรรกะอะไรเลย เรื่องเหล่านี้เป็นอะไรที่รบกวนจิตใจผมมากที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ต้องเดินหน้าต่อไป และสำหรับ Bangkok Post ผมขอชื่นชมพวกคุณจริงๆ ขอคารวะ พวกคุณสามารถที่จะเกาะติดเรื่องนี้ได้ และด้วยความสัตย์จริง ในอดีตผมเคยทำวิดีโอที่คอขาดบาดตายจากบทบรรณาธิการของคุณที่เกี่ยวกับกัญชา พวกคุณเดินสายกลางคือไม่เข้าข้างใคร พยายามที่จะรายงานแต่ข้อเท็จจริง ซึ่งผมประทับใจมาก ผมชอบการรายงานข่าวของพวกคุณมากจริงๆ จนถึงตอนนี้ หรืออย่างน้อยก็ในปี 2024 นะครับ ขอยกอีกบทความหนึ่งจากหนังสือพิมพ์ Bangkok Post, bangkokpost.com, ชื่อเรื่องว่า:Draft bill on Cannabis control not finished, says Cholnan นายชลน่าน กล่าวว่า การยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมกัญชายังไม่เรียบร้อย แบบนี้ดูเหมือนพวกเขากำลังพยายามที่จะผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยไม่ขอความเห็นจากสาธารณะ ซึ่งทำให้ประชาชนรู้สึกไม่พอใจอยู่ระดับหนึ่ง ขอยกข้อความโดยตรงจากบทความดังนี้: "การยกร่างกฎหมายฉบับใหม่เกี่ยวกับการควบคุมกัญชาและกัญชงยังไม่เรียบร้อยดี และยังไม่ได้นำเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อขอรับความเห็นชอบ นพ. ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวเมื่อวันพุธ" บทความได้กล่าวต่อ: "นพ. ชลน่าน ยังคงยึดมั่นในความเชื่อของตัวเองว่า กัญชาควรจะนำมาใช้ในทางการแพทย์เท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา" เขาพูดประมาณว่า “มันเป็นการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเชียวนะ” ใช่ครับ ท่านนายกพูด ก็ในรัฐบาลผสมชุดนี้มีท่านเป็นนายกนี่ครับ แต่ท่านก็ไม่ได้เป็นตัวแทนของทุกคนและก็ไม่ใช่ว่าทุกพรรคจะเห็นด้วย เพราะฉะนั้น การที่ท่านนายกเป็นผู้แถลง ก็เป็นเพียงถ้อยแถลงของตัวท่านนายกเองเท่านั้น กล่าวต่อ: "การยกร่างกฎหมายฉบับนี้ เพื่อสนับสนุนต่อหลักการนี้" เพราะอะไร? ผมอยากถามว่ามีประชาชนออกมาโวยวายตามท้องถนนในกรุงเทพฯหรือตามเมืองเล็กๆ หรือตามหมู่บ้านต่างๆของประเทศไทยหรือเปล่า? มีใครออกมาพูดรึป่าวว่า "เราต้องจัดการบางอย่างในประเด็นเกี่ยวกับกัญชาให้ได้" ไม่มีเลย แล้วมีอะไรเกิดขึ้นในทางตรงกันข้ามบ้างไหม แต่คุณจะเห็นว่า มีร้านค้าเล็กๆผุดขึ้นทั่วไป ซึ่งอาจจะมีคนแย้งว่า ในเชิงเศรฐศาสตร์ถือว่าเป็นเพียงปรากฎการณ์ฟองสบู่ แต่ก็เอาล่ะ นั่นเป็น คำถามอีกข้อหนึ่งที่ต่างออกไป กลับมาที่ประเด็นนี้ เป็นประเด็นที่มีความสำคัญเพราะมีผู้ประกอบการรายย่อยคนไทยที่ได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้แล้ว คือมีงาน มีอาชีพเกิดขึ้นมากมาย  และถึงแม้ว่างานเหล่านี้อาจจะไม่เป็นตัวเลขที่สามารถนำไปเป็นส่วนประกอบของ GDP ได้ด้วยก็ตาม (อย่างที่เราเคยพูดไว้ในวีดีโอเรื่องอื่นว่า GDP ก็เป็นเพียงบทบาทหนึ่งของสินเชื่อธนาคาร หรืออะไรก็ตามที่เกิดขึ้นภายนอกสิ่งที่เรียกว่า "ระบบการเงิน" หรือ "เศรษฐกิจในระบบ" การดูตัวเลขของเศรษฐกิจนอกระบบนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะติดตามตัวเลขได้) แต่ถ้าหากมีใครไปเดินตามท้องถนนในกรุงเทพฯหรือเมืองพัทยา ผมเพิ่งไปสมุยเมื่อไม่นานมานี้ และไปภูเก็ตเมื่อสองสามเดือนที่แล้ว ใครก็ตามที่เดินไปเดินมาตามถนนของเมืองเหล่านี้ ก็จะสามารถมองเห็นด้วยตาตัวเองว่าคนไทยมีงานทำ ธุรกิจเล็กๆของคนไทยได้เกิดขึ้น - สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นแค่บันทึกคำบอกเล่า แต่มันเห็นได้ชัดแจ้งอยู่ในตัวเอง และคุณรู้อะไรมั้ย? ในเวลาเดียวกันนี้ ทั่วโลกที่เพิ่งหลุดจากการระบาดของโควิด ต่างได้แต่เฝ้ามองอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของตนหัวทิ่มหัวตำไปตามๆกัน แต่ประเทศไทยยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ เหตุผลคืออะไร? ทั้งนี้ก็เพราะตอนนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายย่อยเป็นที่ต้องการ อันเป็นผลเนื่องมาจากมีพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่เกิดขึ้นในประเทศไทย และมันกำลังเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้ว เราต้องการที่จะพลิกกลับแนวโน้มนี้จริงๆหรือ? นั่นเป็นนโยบายที่ดีสำหรับใครบ้างหรือ? ตอนนี้เราไม่ได้พูดเฉพาะแค่เรื่องกัญชาเท่านั้น ตอนนี้กำลังพูดถึงเรื่องอสังหาริมทรัพย์ด้วย ผมว่าท่านนายกซึ่งเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตัวยง แค่นี้ยังเห็นได้ไม่ชัดเจนในตัวเองอีกหรือ? บทความกล่าวต่ออีกว่า: "สารสกัดจากกัญชาที่มีส่วนประกอบของ THC สูงเกิน 0.2% จะถูกจัดเป็นสารเสพติด" เราต้องการที่จะเดินถอยหลังจริงๆหรือ แล้วถ้าหากมาดูย้อนหลังกลับไป จะคล้ายกับเราหน้าแตกกันไป ก็ว่าได้ เพราะเมื่อเราอยู่ภายใต้รัฐบาลที่หลายคนเรียกว่ารัฐบาลเผด็จการ แต่เรื่องนี้กลับถูกทำให้ถูกกฎหมาย โดยกลุ่มคนที่รู้เรื่องการบังคับใช้กฎหมายดีที่สุด ซึ่งเป็นที่กล่าวขานกันในเวลานั้น มันไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยที่จะใช้เวลาและทรัพยากรของรัฐ ไปไล่ล่าสิ่งที่ไม่ได้ฆ่าใครเลยและยังเป็นพืชที่เติบโตได้อย่างง่ายดายในพื้นที่ทั่วไปอีกด้วย ซึ่งทรัพยากรเหล่านั้นควรที่จะถูกนำไปใช้เพื่อตามล่าบรรดายาเสพติดต่างๆเช่นยาบ้าซึ่งฆ่าคนจริงๆและทำลายสังคมด้วยมากกว่า หลังจากที่กัญชาถูกกำหนดให้เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายมาได้ 1 ปีกับอีกสองสามเดือน ผมไม่เห็นเลยว่ามีความเสียหายทางสังคมอย่างมากมายเกิดขึ้นที่ไหน เดี๋ยวผมจะพูดถึงจุดที่ผมเห็นด้วยว่า ระเบียบข้อบังคับนี้ตรงประเด็นมากเลย แต่เหนือสิ่งอื่นใด ถามว่า ตั้งแต่กัญชาถูกทำให้เป็นสิ่งถูกกฎหมาย ท้องฟ้าได้ถล่มทลายลงมาไหม หรือมีอุปาทานหมู่เกิดขึ้นบ้างไหม" ผมยังไม่เห็นนะครับ กล่าวต่อ: "ร้านกัญชาที่มีอยู่ขณะนี้ ได้รับอนุญาตให้เปิดกิจการเป็นสถานประกอบการทางธุรกิจ และกฎหมายใหม่ที่กำลังร่างอยู่นี้จะเพ่งเล็งไปที่การควบคุมการใช้กัญชาไปในทางที่ไม่ถูกต้อง" เอาล่ะ ตรงนี้หมายความว่าอย่างไร? คนที่มีใบอนุญาตก็แปลว่าสามารถใช้ใบอนุญาตในการทำงานได้ใช่หรือเปล่า? เขาสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ใช่ไหม แต่เรากลับจะมาเพ่งเล็งไปที่การใช้ในทางไม่ถูกต้อง? มันดูเหมือนกับเป็นรัฐบาลประเภท พี่เลี้ยงเด็ก ที่คอยกำกับตักเตือนการใช้ชีวิตของผู้คน ซึ่งต่างก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้วทั้งนั้น ว่าสิ่งนี้ควรใช้อย่างไรหรือไม่ควรใช้อย่างไร และในขณะเดียวกัน การที่จะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นยาเสพติดก็ถือว่าเป็นการเดินถอยหลังเพราะ จากหลักการง่ายๆของผมที่ว่า สารชนิดนี้ไม่ได้ทำให้คนตาย ไม่ว่าจะใช้ในปริมาณมากแค่ไหนก็ตาม คุณอาจจะรู้สึกไม่ค่อยเป็นปกตินัก อาจจะต้องได้รับการดูแลเกี่ยวกับอาการบางอย่างเช่นอาเจียน หรือเวียนหัว แต่มันถึงกับจะฆ่าใครหรือเปล่าล่ะ? ในขณะที่อีกสิ่งหนึ่งมีความถูกต้องตามกฎหมายโดยสมบูรณ์สามารถใช้สันทนาการได้ แต่มันก็สามารถทำให้คนเสียชีวิตได้ด้วย ไม่เห็นมีใครออกมาโวยวายเพื่อที่จะกำจัดสิ่งเหล่านั้นเลย 

กล่าวต่อ: "นายสง่า เรืองวัฒนกุล ประธานสมาคมกลุ่มธุรกิจในถนนข้าวสาร ได้กล่าวว่ากัญชาคือ 1 ในเหตุผลที่นักท่องเที่ยวเลือกที่จะมาเที่ยวที่ถนนข้าวสาร" ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่ผู้คนมักจะพูดถึงเมื่อคุยกันเรื่องกัญชา ผมเองก็เคยได้ยิน ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะ นพ.ชลน่านจะเป็นคนพูดไว้ ถ้าหากผมจำผิดก็ต้องขอโทษด้วยซึ่งผมก็อาจจะไม่ได้ถูก 100% แต่คิดว่ามันมีอยู่ในบทความอีกอันหนึ่งในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post, ที่มีใครสักคนกล่าวว่า: "จริงๆแล้วกัญชาไม่ได้เป็นสิ่งที่นำนักท่องเที่ยวเข้ามาที่นี่ได้มากขนาดนี้!" จริงหรือ? แน่ใจนะ? ผมไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องง่ายที่จะหาตัวเลขมาได้นอกจากการไปยืนที่สนามบินที่จุดตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็ดูนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เข้ามาแล้วถามว่า "กัญชาเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งหรือเปล่าที่คุณตัดสินใจที่จะเดินทางมาที่นี่?" ซึ่งเดี๋ยวเราจะพูดในรายละเอียด แต่ผมคิดว่าคงไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมากมาย เพื่อที่จะทำความเข้าใจว่า ผู้คนจำนวนมากที่ต้องการมาเที่ยวที่นี่ไม่ใช่เพราะกัญชาแต่เพียงอย่างเดียว แต่กัญชาก็เป็นปัจจัยประการหนึ่งในการตัดสินใจวางแผนมาพักผ่อนที่ประเทศไทย กล่าวต่อ: "เพื่อที่จะได้หาประสบการณ์ในรสชาติของกัญชา เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่ไม่ได้กำหนดว่ากัญชาเป็นยาเสพติดผิดกฎหมาย" ขอกล่าวอีกครั้งหนึ่งว่าประเทศไทยได้เดินมาถูกทางแล้ว ไม่ว่าจะมีฉันทามติจากทุกคนหรือไม่ก็ตาม เราเป็นพวกแรกที่ได้ประโยชน์จากการมีพืชเศรษฐกิจนี้ซึ่งอาจจะเป็นการสร้างสิ่งที่มีประโยชน์และปรับปรุงคุณภาพชีวิตอย่างสำคัญในภาคเกษตรกรรมของไทย วางเรื่องนี้ไว้ก่อน กัญชายังสร้างข้อได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในแง่ของการท่องเที่ยวอีกด้วย  ถ้ามีใครสักคนที่ไม่มีความโน้มเอียงในเรื่องกัญชา มองไปที่มาเลเซียแล้วหันกลับมามองที่ประเทศไทย ผู้นั้นจะต้องเลือกประเทศไทย เราไม่ควรจะมองข้ามสิ่งเหล่านี้ และแน่นอนเลยว่า มันไม่ใช่ห่านทองคำที่คุณคิดแค่จะฆ่าทิ้งอย่างเดียว เหตุผลที่ผมตั้งชื่อวีดีโอเรื่องนี้แบบนี้ก็เพราะในช่วงโควิด ผมมีความกังวลมากจริงๆ; ตอนนี้ผมกังวลน้อยลงโดยเฉพาะเมื่อผ่าน high season ของปี 2023 มา เราได้ตัวเลขที่เกินเป้านิดหน่อย แต่มีหลายคนที่ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะไม่เกินเป้าหรือไม่ถึงเป้าแล้วจะได้น้อยกว่าเป้าด้วยซ้ำ สิ่งที่ผมกังวลตอนช่วงโควิดคือ ผมกลัวว่าเราจะฆ่าห่านทองคำของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเรา โดยลัทธิอำนาจนิยมบ้าๆเหล่านั้นที่ออกมาในช่วงโควิด โดยไม่มีเหตุผลดีๆอะไรสักข้อ ตอนนี้ถ้ามองย้อนกลับไปดูก็จะเห็นว่า มันไม่ได้ทำไปเพื่อเหตุผลดีๆอะไรเลย ตอนนี้ผมก็กำลังมองว่าสถานการณ์มันเหมือนกันมากทีเดียว ภัยคุกคามใหญ่ที่เรามองข้ามไปมันอยู่ที่ไหน ผมมองไม่เห็นเลย แต่มันคือผลประโยชน์ตะหาก; มันคือห่านทองคำ; มันกำลังสร้างอุปสงค์ในด้านอหังสาริมทรัพย์ให้เกิดขึ้น มันก่อให้เกิดผู้ประกอบการรายย่อยชาวไทยขึ้นมา มันสร้างงานขึ้นมามากมายภายใต้ผู้ประกอบการรายย่อยที่กำลังแผ้วถางทางธุรกิจด้านนี้ของตัวเองและต้องการคนมาช่วยงาน มันคือห่านทองคำที่กำลังวางไข่ทองคำ จะฆ่ามันทิ้งทำไม? เราจะกินห่านหรือ? มันไม่ใช่ความคิดที่ดีนะครับ กล่าวต่อ: "ร้านกัญชาแถวถนนข้าวสารสามารถรับประกันรายได้ถึง 20-30 ล้านบาทต่อเดือน" เราจะทิ้งมันไปเหรอ? รายได้ 20-30 ล้านบาทต่อเดือน ถ้าเรามีการออกกฎหมายที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นกฎหมายที่มุ่งไปสู่การเก็บภาษีและการควบคุม แทนที่จะทำให้มันกลับไปเป็นสิ่งผิดกฎหมายอีก แล้วก็โยนคนเข้าตะรางเพียงเพราะไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรที่ไม่ได้ทำให้ใครตาย เราสามารถที่จะอยู่ในสถานการณ์ที่รัฐและประชาชนของประเทศไทยจะได้ผลประโยชน์อย่างมากมายจากภาษีเงินได้ เหล่านั้น รายได้ 20-30 ล้านบาทต่อเดือนต่อร้าน? มันเป็นรายได้ที่เยอะมากจริงๆและก็สามารถเก็บภาษีได้ด้วย เอาล่ะ นั่นมันเป็นประเด็นของถนนข้าวสาร นั่นเป็นรายได้ที่มาจากต่างประเทศล้วนๆ ไม่ใช่เงินที่หมุนเวียนอยู่ในประเทศเลย เป็นเงินที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งรัฐก็มีส่วนได้ในเงินส่วนนี้ด้วย และอีกอย่างนึงซึ่งเราพูดถึงอยู่บ่อยๆเกี่ยวกับเรื่องของภาษีในประเทศไทยเพราะเห็นได้ชัดว่ากำปั่นเงินจากภาษีของไทยก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก ผมนึกไม่ออกเลยว่า ทำไมหลังจาก shut down ทางเศรษฐกิจมา 3 ปีแล้ว.....แต่ก็ช่างมันเถอะ ไม่อยากจะพูดถึง นี่คือวิธีที่จะแก้ไขสถานการณ์ ให้มันถูกต้อง เราอย่าได้เดินถอยหลังด้วยการทำให้มันกลับไปเป็นยาเสพติดอีกรอบหนึ่งเลย; แต่ควรที่จะเก็บภาษีจากมันในฐานะที่เป็นสมุนไพรมากกว่า 

ขอพูดถึงอีกหนึ่งบทความ ที่มาจาก bangkokpost.com, ต้องชมว่า Bangkok Post เก่งมากที่ได้ติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด, บทความชื่อว่า: Better weed Bill needed ต้องมีกฎหมายกัญชาที่ดีกว่านี้ ขอยกข้อความโดยตรงจากบทความดังนี้: "ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข นพ. ชลน่าน ศรีแก้ว ได้สร้างปัญหาให้ตัวเองหลังจากที่กล่าวว่าได้ยื่นร่างกฎหมายให้กับคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว การกล่าวนี้ดูเหมือนกระทรวงได้ข้ามขั้นตอนเกี่ยวกับการปรึกษาหารือสาธารณะไป หลังจากที่พูดออกไปแล้ว รมต.สธ. ได้แก้ไขคำพูดของตัวเองโดยกล่าวว่าสิ่งที่ส่งไปที่คณะรัฐมนตรีคือความเห็นของกระทรวงเกี่ยวกับร่างกฎหมายก่อนที่จะทำประชาพิจารณ์ นอกจากนี้ รัฐมนตรียังสัญญาด้วยว่าจะดำเนินการด้วยความรวดเร็วเพื่อให้สามารถประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ในเร็วๆนี้" ขอพูดตรงๆว่าผมไม่ได้ยินดีที่จะให้ขั้นตอนเพื่ออนุมัติกฎหมายนี้ผ่านไปอย่างเร็วนะครับ ผมอยากจะให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้รับการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เพราะในขณะที่พวกเขากำลังพยายามที่จะอนุญาตให้ใช้ยาบ้า แต่กลับจะมาตีวงจำกัดต่อสิ่งที่เห็นแล้วว่าจะเป็นตัวกระตุ้นธุระกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ และยังเป็นตัวก่อให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นในประเทศซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศมากมายมหาศาล” กล่าวต่อ: "การปลูกกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกเป็นเวลา 1-5 ปีและปรับตั้งแต่ 20,000 - 500,000 บาทขึ้นอยู่กับปริมาณที่ปลูก" ขอถามอีกครั้งหนึ่งว่าทำเช่นนี้เพราะเหตุใด? ผมเข้าใจเรื่องการปรับ เพราะถ้าต้องการที่จะสร้างกฎระเบียบในการควบคุมขึ้นมา ก็จะมีการเปรียบเทียบปรับ แต่ว่าคุณต้องการที่จะส่งเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายออกไปวิ่งไล่ล่าคนที่ปลูกกัญชาหรือกัญชงจริงๆหรือ? นั่นเป็นการใช้ทรัพยากรของรัฐอย่างเหมาะสมแล้วหรือ? ผมฟังแล้วทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง 'Smokey and the Bandit' ที่ตำรวจตามไล่ล่า Burt Reynolds เพราะเขาพยายามที่จะลักลอบนำเบียร์ Coor's ข้ามลำน้ำ Mississippi จากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง! แบบนั้นถือว่าเป็นการใช้เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพหรือ? จริงหรือ! กล่าวต่อ: "การการลงโทษที่รุนแรงนี้ดูเหมือนจะไม่สอดคล้องกับหลักการที่ว่าตอนนี้กัญชาถูกมองว่าเป็นสมุนไพร" นั่นสิ ถูกต้องเลย หรือว่าเราจะหันกลับไปสร้างระบบการควบคุมที่เข้มงวดแบบสมัยเอเธนส์โบราณขึ้นมาด้วยการพิจารณาว่าสิ่งนี้เป็นสารเสพติด แล้วก็จับคนปลูกเข้าตะราง? สำหรับผมแล้ว มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย 

อย่างที่ผมพูดไว้แล้วคือ ผมเห็นด้วยกับการมีกฎระเบียบและเดี๋ยวผมจะคุยต่อว่ามีส่วนไหนบ้างที่ผมเห็นด้วยจริงๆกับการมีระเบียบควบคุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเด็กๆ สิ่งที่ต้องทำคือต้องสร้างกฎหมายอาญาที่มีบทลงโทษหนักๆขึ้นมา กฎหมายอาญาว่าด้วยการจำหน่ายให้กับเด็ก ใครก็ตามที่ขายกัญชาให้กับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี จะต้องถูกจำคุกเป็นเวลา 10ปี ผมไม่มีปัญหากับเรื่องนี้เลย ไม่มีโดยสิ้นเชิง ถือว่าเป็นการบังคับใช้กฎหมายที่ดี เป็นนโยบายที่ดี เด็กไม่ควรจะเข้าใกล้สิ่งนี้เลย แต่จะต้องมาทำให้มันเป็นยาเสพติดสำหรับคนที่โตจนสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้แล้ว รวมทั้งจับคนปลูกเข้าคุกด้วย อย่างนั้นหรือ? ไม่เอาน่า! ในขณะเดียวกันก็พูดว่า "ถ้าเป็นยาบ้า มีนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร!" มันใช่หรือ? "แต่สารสกัดกัญชาที่มีสาร THC เป็นส่วนประกอบในปริมาณที่สูงกว่า 0.2% กลับถูกจัดประเภทให้เป็นยาเสพติด" ทำไมเราถึงจะไปเรียกกัญชาว่ายาเสพติด? ในเมื่อยาเสพติดมันสามารถฆ่าคนได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้ใครตาย จริงมั้ย? การที่พวกคุณอารมณ์เสียก็เพราะคนที่ใช้กัญชาแล้วรู้สึกเคลิบเคลิ้ม อย่างนั้นหรือ? การที่คนเคลิบเคลิ้มมันเป็นการรบกวนคนอื่นหรือ? คนที่คิดแบบนี้คือพวกที่ไม่ชอบให้คนอื่นสามารถที่จะตัดสินใจได้เอง ดำเนินชีวิตของตัวเอง และมีเสรีภาพของตัวเอง? มันเป็นสิ่งที่น่ารำคาญมากจริงๆหรือ สิ่งนี้ทำให้พวกคุณต้องบ่นต้องคิดถึงมันบ่อยๆหรือ? จริงหรือ? บทความกล่าวต่ออีกว่า: "การให้คำจำกัดความอย่างแคบๆเกี่ยวกับการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ ตามที่ได้กล่าวในบทที่ 4 และบทที่ 42(1) ว่าห้ามขายส่วนต่างๆของกัญชาให้ใครก็ตามที่มีจุดประสงค์เพื่อใช้สันทนาการ" จริงหรือ? งั้นเราก็กำลังก้าวล่วงเข้าไปในความตั้งใจของใครก็ตามที่กำลังหาซื้อสินค้าอยู่น่ะสิ เราเคยถกประเด็นนี้กันตอนที่พูดถึงกฎหมายความรับผิดทางแพ่งของร้านเหล้าต่อการกระทำที่เป็นอันตรายของลูกค้าที่มึนเมา เมื่อหลายเดือนมาแล้ว คิดว่าน่าจะปีสองปีด้วยซ้ำ ตอนนั้นมีการพูดกันว่า เราน่าจะต้องเริ่มด้วยการลงโทษบาร์เท็นเดอร์ ถ้าเขาบริการเครื่องดื่มให้ลูกค้าแล้วลูกค้าคนนั้นออกจากร้านไปขับรถในขณะที่มึนเมา" ประการแรก เราเคยเห็นกฎหมายนี้ในสหรัฐฯ มันไม่ได้ผล ประการที่ 2 เรื่องนี้มันดูเกือบจะเป็นคอมมิวนิสต์อยู่แล้ว หรือไม่ก็ลัทธิ Marxist ที่มองว่า "มอบหน้าที่ให้คนหนึ่งเพื่อไปควบคุมอีกคนหนึ่ง" แล้วต้องพยายามที่จะเข้าใจว่าคนๆนั้นมีความตั้งใจอย่างไรและมีเป้าหมายอย่างไร มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณเลย ถ้ามีใครสักคนต้องการเข้ามาซื้อสินค้าซึ่งเป็นสินค้าถูกกฎหมาย เพราะเขาต้องการนำไปใช้ ไม่ว่าจะมีจุดประสงค์อะไรก็ตาม ก็ต้องปล่อยเขาไป สำหรับในกรณีของกัญชา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำให้ใครตาย เราจะนำระบบ “รัฐพี่เลี้ยงเด็ก” มาใช้ทำไม? บทความกล่าวต่อว่า: "ตัวร่างกฎหมายนั่นแหละที่มีปัญหา และอาจจะขัดแย้งกับหลักการของการทำให้กัญชาไม่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายด้วย" สิ่งแรกที่ผมต้องการบอกคือ กัญชาไม่ได้ถูกทำให้ไม่ผิดกฎหมาย แต่มันเป็นของถูกกฎหมาย; ในประเทศนี้ กัญชาเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย สิ่งที่ 2 คือมันขัดกับหลักของการทำให้ถูกกฎหมาย ก็เพราะว่ามันเป็นสิ่งถูกกฎหมายและไม่ได้เป็นยาเสพติด และขอพูดตรงๆ การที่ให้คำจำกัดความว่ากัญชาเป็นยาเสพติดนั้น เป็นนโยบายที่ผิดตั้งแต่แรก ซึ่งก็เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องมีการเปลี่ยนแปลง และเป็นเรื่องที่ดีที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น. กล่าวต่อ: "กลุ่มที่สนับสนุนกัญชามีความคิดที่ถูกต้องแล้วที่ตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลจึงผ่อนปรนในเรื่องยาบ้า." นี่หรือถูกต้อง? ใช่ ผมมีปัญหาอย่างมากกับรัฐบาลที่คิดว่าจะต้องจัดการกับประเด็นของกัญชา แต่ในเรื่องของยาบ้าก็คงจะไม่เป็นไร จริงหรือ? ยาบ้ามันฆ่าเด็กๆได้นะ จบมั้ย? มันฆ่าจริงๆ ไม่มีข้อสงสัยเลย เรามีข้อมูลหลักฐานที่จะแสดงให้เห็นได้  ขอถามอีกครั้งหนึ่งว่ากัญชาเคยฆ่าใครหรือเปล่า และขอพูดอีกครั้งหนึ่งว่า ผมเห็นด้วยกับที่ว่าการขายให้ผู้เยาว์เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย เป็นอาชญากรรมร้ายแรง - และจะต้องติดคุกด้วย แต่การที่พูดออกจากมุมปากข้างหนึ่งว่า "เราต้องจัดการกับประเด็นที่เกี่ยวกับกัญชา" แต่ในขณะเดียวกันกลับผ่อนปรนเรื่องยาบ้า ซึ่งเป็นฆาตกรที่ยิ่งใหญ่ในบรรดาฆาตกรด้วยกัน ถ้าหากมองในบริบทของยาเสพติดทั้งหมด มันเป็นนโยบายประเภทไหนกัน? แต่ทำเป็นมาเข้มงวดกับสมุนไพรชนิดนี้โดยเฉพาะ ซึ่งทำให้เกิดคำถามถึงความจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีกฎหมายที่จะทำให้การควบคุมการใช้กัญชาสามารถทำได้ดีกว่านี้" อันนี้ผมเห็นด้วย "แต่กฎหมายที่มีความขัดแย้งและไม่ตรงไปตรงมาจะไม่มีประโยชน์เลย มันมีแต่จะสร้างปัญหาให้มากขึ้นเท่านั้น" ประเด็นนี้ดี กล่าวต่อ: "การมีข้อจำกัดที่อายุขั้นต่ำ 20ปี และการมีข้อจำกัดในเรื่องสถานที่ที่ใช้ในการบริโภค เช่นควรบริโภคเฉพาะในบ้านของตัวเองและไม่ใช่ในที่สาธารณะ น่าจะเพียงพอสำหรับกฎหมายนี้" ในประเด็นของการสูบในที่สาธารณะและการใช้ประโยชน์ร่วมกันของประชาชน ผมได้แสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยตั้งแต่วันแรกแล้ว สิ่งแรกคือถือว่าเป็นการผิดกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้ได้คุยกันแล้ว เพราะเป็นการทำผิดต่อกฎหมายการก่อความรำคาญของประเทศไทย (Thai Nuisance Laws) แต่ก็มีการพูดกันว่า เราจะต้องมีระบบการควบคุมซึ่งกำหนดว่ามีที่ไหนบ้างที่สามารถเสพสิ่งนี้ได้ ด้วยหรือไม่? ผมคิดว่าเป็นความคิดที่ดีและผมคิดว่าควรที่จะมีระเบียบและกฎหมายเรื่องการใช้ในที่สาธารณะ ผมไม่คิดว่าเด็กเล็กๆและครอบครัวหรือผู้คนที่เดินตามถนนจะต้องได้รับผลกระทบจากผู้คนที่สูบสิ่งนี้ หรืออาจจะเป่าไปโดนหน้าเป็นต้น ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นผมจึงเห็นด้วยกับการที่ต้องมีกฎระเบียบไว้ และผมก็คิดด้วยว่าน่าจะมีสถานที่ที่ถูกจัดไว้เพื่อที่จะเสพสิ่งเหล่านี้ด้วย กล่าวต่อ: "การกำหนดมาตรการควบคุมการปลูก การขาย การโฆษณา และการกำหนดประเภทของผลิตภัณฑ์- ซึ่งจะต้องมีTHC ไม่เกิน 0.2% - ตอนนี้ก็มีอยู่แล้ว" นั่นคือ เรามีโครงสร้างการควบคุมที่สมบูรณ์แล้ว ผมชอบจริงๆกับวิธีการเขียนบรรยายลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ราวกับว่าเราอยู่ในสูญญากาศ ซึ่งมันไม่ใช่เลย ผมเคยพูดไว้ในวีดีโอม้วนอื่นว่า ที่ผมลุยไปจนได้รับใบอนุญาตมาก็เพราะผมต้องการที่จะผ่านขั้นตอนต่างๆ เพื่อดูว่ามันทำงานอย่างไร แล้วผมเองก็มองธุรกิจนี้ -ถึงแม้จะยังไม่ได้ทำอะไรมากมาย - แต่ก็ได้ผ่านขั้นตอนของการขอใบอนุญาตแล้ว ขอบอกว่าไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลย; กฎระเบียบมีอยู่แล้วมากมาย เพราะฉะนั้นความคิดที่ว่าเป็นเพียงการนั่งอยู่ในสูญญากาศ จึงไม่ถูกต้องแม่นยำเลย ถ้าดูจากข้อเท็จจริงในสถานการณ์จริง "ในด้านของอุตสาหกรรมอาหาร เจ้าหน้าที่ควรที่จะตั้งมาตรการเกี่ยวกับการติดฉลากให้เข้มงวดเพื่อที่ผู้คนที่ไม่ต้องการที่จะใช้กัญชาจะได้ตัดสินใจตามฉลากนั้น" แน่นอนครับ จะต้องมีการติดฉลาก และฉลากควรจะต้องทำผ่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) และควรที่จะต้องมีโครงสร้างที่คอยเตือนผู้คนว่า "สินค้านี้มีกัญชาหรือผลิตภัณฑ์จากกัญชาผสมอยู่"

กล่าวโดยสรุป ผมมีความลังเลที่จะทำวีดีโอเรื่องนี้ คุณคงเห็นแล้วว่าผมค่อนข้างจะมีความรู้สึกที่รุนแรงพอสมควรกับเรื่องนี้ เพราะว่าขอพูดตรงๆว่า มันไม่มีเหตุมีผลอะไรเลยในสิ่งที่รัฐบาลกำลังเสนอ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ที่เกี่ยวกับนโยบาย หรือกฎหมาย หรือแม้แต่สามัญสำนึกทั่วๆไป โดยเฉพาะเมื่อมีการกล่าวว่าจะผ่อนคลายเกี่ยวกับยาบ้า แต่กลับจะลงโทษอย่างรุนแรงต่อผู้คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกัญชา ผมไม่เข้าใจจริงๆ ผมหวังว่าในที่สุด ไม่ว่ากฎหมายอะไรจะประกาศใช้ก็ตาม ผมก็หวังว่าคงไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกับสิ่งที่เรากล่าวในวีดีโอม้วนนี้