Integrity Legal - Law Firm in Bangkok | Bangkok Lawyer | Legal Services Thailand Back to
Integrity Legal

Legal Services & Resources 

Up to date legal information pertaining to Thai, American, & International Law.

Contact us: +66 2-266 3698

[email protected]

ResourcesThailand Real Estate & Property LawJurisprudenceหากใช้ mBridge ประเทศไทยจะสามารถดึง GDP จาก London กลับมาได้ 8% จริงหรือ?

หากใช้ mBridge ประเทศไทยจะสามารถดึง GDP จาก London กลับมาได้ 8% จริงหรือ?

For the English transcript of this video, please go to the following link:

https://www.legal.co.th/resources/thailand-real-estate-property-law/jurisprudence/mbridge-thailand-can-claw-back-8-gdp-london/

วีดีโอเรื่องนี้จะพูดถึง mBridge และสำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบ mBridge คือ “ระเบียบวิธีการ” ชนิดใหม่ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมา ซึ่งจะทำงานระหว่างธนาคารกลางฮ่องกง ธนาคารกลางของจีน ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารกลางของ UAE สิ่งที่กลุ่มนี้พยายามที่จะสร้างขึ้นมาคือระเบียบวิธีการชำระเงินที่จะนำมาใช้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือกลุ่มโลกใต้ ก็ว่าได้ ซึ่งจะสามารถใช้ประโยชน์ในการเป็นหนทางเพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าขายระหว่างกันของประเทศต่างๆเหล่านั้น วิธีการมองเรื่องนี้คือ จริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นสกุลเงินชนิดใหม่แต่อย่างใด แต่หลายคนมักจะพูดว่าเป็นเงินสกุลใหม่ ในการทำการค้าสากลจะมีอยู่ 2 วิธีคือ คุณสร้างเงินสกุลใหม่ขึ้นมา ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ EU ที่สร้างเงิน EURO ขึ้นมา อีกวิธีหนึ่งคือ แต่ละประเทศยังคงใช้เงินในสกุลของตัวเองที่มีอยู่แล้ว และใช้อยู่ภายในเขตอธิปไตยของตน แต่สร้าง platform ใหม่ขึ้นมาอันหนึ่งเพื่อที่จะสามารถเคลื่อนย้ายเงินในสกุลต่างๆเหล่านั้นไปรอบๆ อันจะเป็นการอำนวยความสะดวกในการทำการค้าระหว่างกัน ถ้าจะพูดแบบง่ายๆ เหมือนกับที่ผมเคยพูดไว้แล้วในวีดีโอม้วนอื่นก็คือ mBridge นั้นเป็นอีกทางเลือกหนึ่งแทนการโอนเงินโดยระบบ SWIFT นั่นเอง

เมื่อเร็วๆนี้ ผมได้ดูวีดีโอเรื่องหนึ่งใน YouTube ซึ่งเป็นการพูดคุยโดยบุคคลผู้หนึ่งซึ่งผมฟังอยู่บ่อย (แล้วผมก็สังเกตดูเหมือนจะเป็นความสัมพัธ์แบบเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายระหว่างกันก็ว่าได้ แต่ผมสังเกตว่าบางครั้งบางคราวจะมีการกัดผมและในบางครั้งก็ดูเหมือนเข้ากันได้ดี ซึ่งที่จริงๆผมก็ไม่ได้เอามาใส่ใจ) แต่ที่จะบอกก็คือ การวิเคราะห์ของผู้นี้ทำได้ดีมาก ผมคิดว่าเขามองถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างทะลุปรุโปร่ง ผมไม่ได้เห็นด้วยกับทุกอย่างที่ผู้นี้กล่าวแต่เขาก็วิเคราะห์ได้ถูกต้องหลายครั้ง - เขาชื่อ Tom Luongo – แล้วผมจะใส่ชื่อคลิปนี้ไว้ด้านล่างของวีดีโอเรื่องนี้ ผมคิดว่าเขามองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้ทะลุ โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นกับบรรดาธนาคารกลางทั้งหลาย อย่างที่ผมได้เคยพูดไว้แล้วในวิดีโอม้วนอื่นว่า mBridge ได้เกิดขึ้นมาแล้ว; BIS (Bank for International Settlements ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ) เองก็ได้ออกมากล่าวแล้วว่า mBridge สามารถที่จะดำเนินการได้ด้วยตัวเอง; เราไม่ต้องเข้าไปวุ่นวาย; mBridge สามารถที่จะทำงานของมันได้  แต่ Tom Luongo ได้ชี้ประเด็นที่น่าสนใจไว้ ตามลิงค์ที่ผมกำลังจะใส่ในคำอธิบายด้านล่าง ในลิงค์นั้น คุณ Tom ได้จาะจงพูดถึงเงินบาท - ซึ่งผมคิดว่าเขาคงใช้สกุลบาทเป็นเพียงการยกตัวอย่าง – แต่เขาได้พูดในประเด็นที่น่าสนใจมากคือ เขาพูดถึงการใช้ระบบเก่าที่ใช้มาถึงประมาณสิงหาคมของปีที่แล้ว ซึ่งถึงตอนนั้นระบบเก่าคือระบบ LIBOR (อัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร ณ. ตลาดลอนดอน) ยังใช้งานได้ดี การทำสัญญาการค้าต่างๆก็จะอยู่บนพื้นฐานของระบบดังกล่าว จนถึงเดือนสิงหาคมโดยประมาณ จึงได้ยุติลง ตอนนี้ SOFR - (ซึ่งผมจำชื่อเต็มไม่ได้) - ซึ่งบริหารโดย ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาไม่ใช่ในลอนดอน แต่ได้ย้ายกลับไปยังฝั่งตรงข้ามของมหาสมุทรแอตแลนติก และอยู่ภายใต้การบริหารของธนาคารกลางสหรัฐฯโดยตรงโดยคนอเมริกัน แต่ประเด็นที่เป็นอยู่ก็คือ มันดูเหมือนว่า ยิ่งมีการเคลื่อนย้ายนี้มากเท่าไหร่ บทบาทดั้งเดิมของ City of London  ก็จะเริ่มอ่อนลงมากเท่านั้น หรืออาจจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปแล้ว คือการให้บริการต่างๆอาจจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป และตามที่ Tom Luongo ได้คาดเดาไว้ ในลิงค์ (ซึ่งอยู่ด้านล่าง) เขาได้พูดถึงความเป็นจริงในอนาคตว่า เราอาจจะได้เจอกับสถานการณ์ที่ประเทศไทยซึ่งใช้เงินสกุลบาท จะพูดว่า "ตอนนี้เรามี mBridge ที่นี่แล้ว ทำไมจึงจะต้องทำธุรกรรมทางการเงินผ่าน City of London อยู่อีก?" ซึ่งความหมายก็คือ ตอนนี้ LIBOR จบลงแล้ว เราจะมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับ FED ได้หรือไม่? ธนาคารกลางแห่งประเทศไทยติดต่อโดยตรงกับ FED ได้หรือไม่? เราน่าจะทำอะไรได้สักอย่าง เพราะเราไม่จำเป็นต้องมี City of London มาทำหน้าที่เป็นตัวกลางอีกแล้ว 

ตามที่ นาย Luongo ได้ชี้ประเด็น ซึ่งเขาอาจจะพูดลอยๆก็ได้ ผมไม่รู้ว่าตัวเลขนี้มันเป๊ะเลยหรือเปล่า แต่ดูเหมือนเขาจะมองที่ตัวเลข 8% ของ GDP ของประเทศไทย ผมว่าบางทีอาจจะเป็น GDP ทั้งหมดของประเทศไทยก็ได้ หรือไม่ก็เป็นก้อนใหญ่หน่อย อาจจะครึ่งหนึ่ง GDP การส่งออกของประเทศไทย เป็นธุรกรรมที่ต้องมีการแลกเปลี่ยนเงินเหรียญสหรัฐฯมาเป็นเงินบาท, นั่นคือเรื่องอัตราการแลกเปลี่ยนจะเข้ามามีบทบาท โดยจะต้องผ่านกลไกของ City of London หมายถึงเคยเป็นเช่นนั้นในอดีตครับ และถ้าหากดูจากสิ่งที่นาย Luongo พูดแล้ว ดูเหมือนจะเป็นการหยิบเอาตัวเลข 8% จากเศรษฐกิจไทยโดยรวม และถ้าหากนำระบบ mBridge มาใช้แทน หรือสามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับ FED ได้ในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเมื่อเปลี่ยนกลับมาเป็นเงินบาท นั่นหมายความว่า ประเทศไทยสามารถที่จะดึง 8% นั้นกลับมาจาก City of London ใช่ไหม? ผมเข้าใจถูกหรือไม่?

ผมไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่านะครับ และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือเปล่า แต่ดูเหมือนจะใช่ หรืออย่างน้อยที่สุดจากมุมมองของผม ผมว่าอย่างน้อยที่สุดก็เป็นคำอธิบายที่น่าเชื่อถือได้ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และถ้าจะพูดตรงๆ ถ้าหากมาวิเคราะห์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ รวมทั้งสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดโลก ก็คงจะดูยาก เพราะตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในสถานะของความสับสนวุ่นวาย หรือกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถึงกระนั้นก็ตาม ถ้าหากประเทศไทยสามารถที่จะดึง 8% ของ GDP กลับมาได้ หรือไม่ก็เพียง 8% ของ GDP ของการส่งออก ก็จะเป็นจำนวนร้อยละของ GDP โดยรวมที่ใหญ่พอสมควรที่ประเทศไทยจะนำกลับมาได้ จริงๆแล้วจะเกิดประสิทธิผลงอกงามเมื่อเงินทุนนี้กลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของตัวเอง ซึ่งผมว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้นทีเดียว เราคงจะต้องคอยคิดตามกันต่อไปว่าจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ และเราจะคอยให้ข้อมูลทันสมัยในช่องรับฟังนี้ตามสถานการณ์