Integrity Legal - Law Firm in Bangkok | Bangkok Lawyer | Legal Services Thailand Back to
Integrity Legal

Legal Services & Resources 

Up to date legal information pertaining to Thai, American, & International Law.

Contact us: +66 2-266 3698

info@integrity-legal.com

ResourcesThailand Real Estate & Property LawJurisprudenceประเทศไทยกำลังตกเป็นเมืองขึ้นของ World Economic Forum หรือเปล่า?

ประเทศไทยกำลังตกเป็นเมืองขึ้นของ World Economic Forum หรือเปล่า?

For the English transcript of this video, please go to the following link:

https://www.legal.co.th/resources/thailand-real-estate-property-law/jurisprudence/thailand-being-colonized-world-economic-forum/

หัวข้อเรื่องนี้อาจจะดูแปลกประหลาดสำหรับช่องรับฟังนี้ก็ได้ แต่ก็อาจจะไม่แปลกประหลาดนักสำหรับผู้ที่ได้รับชมช่องนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว ก็ขออารัมภบทก่อนที่จะเจาะลึกลงไปในเรื่องนี้ ผมขออารัมภบทก่อนว่ามีหลายคนถามผมว่า "ทำไมถึงทำแบบนี้?" เหตุผลก็จะคล้ายกับเหตุผลที่ผมเริ่มตั้งคำถามยากๆในช่วง COVID. ผมเพียงแต่ไม่ต้องการอาศัยอยู่ในประเทศที่ผมเรียกว่าเป็นบ้านของผม ประเทศที่ผมรัก และเป็นประเทศที่ผมต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ กำลังจะกลายเป็นอาณานิคมโดยกลุ่มคนที่ผมอาจกล่าวได้ว่าได้ทำลายหลายมุมมองที่ผมมีต่อประเทศที่ผมจากมา; ซึ่งทำให้ผมรู้สึกกังวล ผมไม่ได้ทำวีดีโอเรื่องนี้เพราะต้องการที่จะทำให้ใครในประเทศไทยต้องลำบากใจเลยแม้แต่น้อย ประเด็นของผมนั้นเกี่ยวกับ World Economic Forum เพราะผมคิดว่าคนกลุ่มนี้ คล้ายกับ องค์กร Spectre ในภาพยนตร์ James Bond ซึ่งผมเคยพูดถึงมาก่อนแล้วในวิดีโอม้วนอื่น ผมหมายถึงว่า มันเกือบจะเป็นตัวการ์ตูนวายร้าย ซึ่งผมก็จะหัวเราะได้ถ้าหากกลุ่มที่ว่านี้ไม่ได้พยายามที่จะทำอะไรมากมายต่อผลประโยชน์ของสามัญชนทั่วไป หรืออาจจะทั่วโลกด้วยซ้ำ เดี๋ยวผมจะนำสิ่งต่างๆมาขึ้นหน้าจอให้ดู แต่กลุ่มคนที่เข้าร่วมกับ World Economic Forum นั้น เป็นกลุ่มคนที่ดูเหมือนจะต้องการแต่สิ่งที่เลวร้ายต่อสามัญชนทั่วไป

ในระหว่างนั้น ก็มีผู้คนพูดกับผมด้วยว่า "คุณพูดอย่างใจอย่าง ที่บอกว่าคุณไม่สบายใจกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน ทั้งที่เขาเป็นรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งมาตามแนวทางประชาธิปไตย" ผมก็ว่าใช่ครับ แต่สิ่งหนึ่งคือ ผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่ได้มีอำนาจที่จะทำอะไรอย่างเช่นโครงการ Digital Wallet นะครับ คุณดูสิว่ามันไปถึงไหนแล้วตอนนี้ และนี่ก็เป็นการแดกดันอีกอย่างต่อทั้งหมดของโครงการนี้ซึ่งผมได้พูดถึงมาบ้างแล้ว ซึ่งในบางกอกโพสต์ก็ได้พูดถึงโดยตรง ซึ่งผมก็ได้แสดงข้อคิดเห็นไปอยู่ครั้งหนึ่งแต่ comment ถูกลบออกซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด แต่ใน YouTube ไม่มี คอมเม้น ของผมแล้ว ผมไม่รู้จริงๆว่าเพราะเหตุใด สิ่งที่ผมได้ชี้ให้เห็นในคอมเม้นคือ เราอยู่ภายใต้รัฐบาลอีกชุดหนึ่งเป็นเวลา 1 ทศวรรษ และผมขอทำความเข้าใจตรงนี้ให้ชัดเจนว่า มีหลายอย่างที่ผมพูดถึงรัฐบาลชุดนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่คุณสามารถพูดถึงรัฐบาลชุดนั้นได้ก็คือ ตลอดเวลา 10 ปีไม่มีใครหน้าไหนไปร่วมประชุมกับ World Economic Forum เลย และในความคิดของผม อย่างน้อยที่สุดเราก็ไม่เห็นมีไอ้ความคิดโง่ๆที่จะเป็นภัยต่อผลประโยชน์ของสามัญชนคนไทยเกิดขึ้นแม้แต่น้อยแต่อย่างใด ผมอยากจะพูดแบบนั้น คือมันเป็นสิ่งที่เลวร้ายจริงๆ ก็ไอ้เรื่อง Digital Wallet นี่แหละ ผมเคยพูดแล้วว่า มันเป็นเพียงระบบการเฝ้าติดตามคุณอย่างเบ็ดเสร็จแค่นั้นเอง มันเป็นลัทธิเผด็จการ และเมื่อคุณดูลงไปในรายละเอียดของ World Economic Forum, กลุ่มคนพวกนี้จะพูดเลยว่าเขาเป็นคนถือธงนำของการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในกิจการของรัฐ ซึ่งขอพูดอีกครั้งว่าเมื่อภาคเอกชนมีปฏิสัมพันธ์กับภาครัฐ มันก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นสิ่งเลวร้ายเสมอไป  สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในประเทศไทยและเกิดในสหรัฐฯด้วย แต่ถ้าหากมาตรฐานของคุณคือ การเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐกับเอกชนแล้วล่ะก็  นั่นฟังดูน่ากลัวเหมือนกับที่ Mussolini ให้คำจำกัดความของคำว่าลัทธิฟาซิส ว่าเป็นการสมประโยชน์กันระหว่างอำนาจของรัฐและอำนาจขององค์กรใหญ่ๆ นั่นก็คือ เป้าหมายของคุณคือการสมประโยชน์กันระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า "คุณจะไม่เป็นเจ้าของอะไรเลย และคุณก็จะมีความสุข" จึงมีแง่มุมของคำขวัญของเลนินอยู่มากทีเดียว คือเป็นการนำเอาแง่มุมที่เลวร้ายที่สุดขององค์กรคอมมิวนิสต์สากล มาผนวกเข้ากับแง่มุมที่เลวร้ายที่สุดของระบบฟาสซิส แล้วมารวมอยู่ในเวทีถกแถลงอันเดียว ซึ่งพวกเขาก็จะถกกันว่า พวกคนตัวใหญ่จะมองลงมายังคนตัวเล็กตัวน้อยเหมือนกับพวกเรา แล้วเขาก็จะทำอะไรหลายๆอย่างต่อพวกเราซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องเป็นผลประโยชน์ของพวกเรา หรือโน้มน้าว ให้เราทำบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะไม่ได้เป็นประโยชน์สำหรับเราเองก็ได้ 

ผมขอลงรายละเอียดในเรื่องนี้โดยขอยกข้อความโดยตรงจากบทความในหนังสือพิมพ์ Khao Sod English, khaosodenglish.com, หัวข้อเรื่องว่า: Thaksin Comeback On Stage: Economic plans, political rifts in Landmark Speech ทักษิณกลับขึ้นสู่เวที: แผนเศรษฐกิจ รอยปริแยกทางการเมืองในสุนทรพจน์ที่โดดเด่น  ขอย้ำว่าผมไม่ได้ชี้นิ้วใส่ใครหรืออยากให้ใครในประเทศนี้ต้องลำบากใจ ว่ากันว่า คือมีการพูดกันอย่างเปิดเผยว่า มีใครบางคนที่เป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงอยู่เบื้องหลัง แล้วก็มีการทำซ้ำเกิดขึ้นคือมีการรวมตัวกันในส่วนผสมอันเดิม แล้วพอมีอำนาจปุ๊บก็เริ่มผลักดันบางอย่างเช่น digital wallet ทันที, หรือแม้กระทั่งพยายามนำตำรวจจีนมาลาดตระเวนตามถนนในประเทศไทย หรือแม้กระทั่งการนำแนวคิดของ WEF เข้ามา นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีคนที่แล้วยังได้เดินทางไปร่วมประชุม World Economic Forum อีกด้วย ผมคิดว่าเป็นตอนที่ยังอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ ซึ่งตอนนั้นผมก็ได้ทำวีดีโอไว้แล้ว ขอพูดอีกครั้งว่าผมก็ไม่ได้พยายามที่จะมุ่งเน้นไปที่ใครโดยเฉพาะเจาะจง แต่มันทำให้ผมรู้สึกกังวลใจอย่างมาก ที่ได้ยินประเด็นการหารือถกแถลงของ WEF แบบนี้ ผมขอพูดแบบนี้แหละครับ อย่างไรก็ตาม ขอยกข้อความโดยตรงดังนี้: "นายทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ของเขาต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก หลังจากที่ได้รับอภัยโทษอย่างเป็นทางการ" ทำไมเราถึงจะต้องไปสนใจกับวิสัยทัศน์ของเขาในช่วงนี้ว่าจะเป็นอย่างไรด้วย? ผมเข้าใจดีถึงเหตุการณ์ในอดีตและผมก็มีความเคารพในคุณทักษิณอยู่บ้างก็ว่าได้ แต่คุณทักษิณไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลานี้ แล้วจะเข้ามาเกี่ยวอะไรด้วย? หรือว่าเขาสามารถที่จะพูดอะไร ที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันไม่สามารถจะพูดออกมาได้ อย่างนั้นหรือ? นั่นเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้หรือ? ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม, กล่าวต่อ: "นายทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ของเขาต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก หลังจากที่ได้รับอภัยโทษอย่างเป็นทางการ งานนี้มีขึ้นในคืนวันพฤหัสบดี ที่ 22 สิงหาคมปี 2567 ที่สยามพารากอน การปาฐกถาและการให้สัมภาษณ์หลังจากนั้นกินเวลารวมมากกว่า 2 ชั่วโมง" 

ใช่ครับ มีเรื่องใหญ่ๆกำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม มาดูในรายละเอียดของแต่ละหัวข้อที่เขาพูด ผมขอยกข้อความจากบทความมาอีกดังนี้

"การลงทุนสาธารณะขนาดใหญ่โดยรัฐจำเป็นที่จะต้องเพ่งเล็งไปที่ปัญหาเชิงระบบ" ผมชอบคำว่า "ปัญหาเชิงระบบ" มาตลอดเวลา และต้องขอถามว่าการลงทุนสาธารณะขนาดใหญ่โดยภาครัฐ เงินจะมาจากไหน จากผู้เสียภาษีหรือ? บทความกล่าวต่อว่า: "ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง" ก็จริง เป็นประเด็นที่ดีอยู่เพราะประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องกังวลเรื่องปัญหาเกี่ยวกับน้ำท่วมและภัยแล้ง อย่างไรก็ตาม วิธีการแก้ปัญหาฟังดูเหมือนวิธีการแก้ปัญหาแบบ WEF มั้ยครับ? กล่าวต่อ: "มีข้อเสนอว่าควรที่จะเวนคืนที่ดินที่บางขุนเทียนและปากน้ำเพื่อที่จะลดความหนาแน่นในกรุงเทพฯและเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยอนุญาตให้เฉพาะรถไฟฟ้าเท่านั้นที่จะให้บริการในพื้นที่นั้น.." ข้อเสนออันไหนนะ? มันฟังดูคล้ายๆกับ "เมือง 15 นาที" คือเราทุกคนจะถูกอัดเข้าไปอยู่ใน "เมือง 15 นาที" เล็กๆนี้ แล้วเราก็จะไม่มี ความสามารถที่แท้จริงในการจะเดินทางไปไหนเหลืออยู่เลย แต่เราคงจะไม่ต้องการมันด้วย เพราะเราทั้งหมดจะไม่เป็นเจ้าของอะไรเลย และเราก็จะยุ่งอยู่กับการมีความสุข.

บทความกล่าวต่ออีกว่า: "..เชื่อมต่อกับโลกโดยการใช้รถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯไปหนองคาย ซึ่งจะต้องทำให้สำเร็จเพื่อที่จะต่อเชื่อมกับความคิดริเริ่มในเรื่อง “ถนนสายไหม” ของจีน”  เอาอีกแล้ว ประเทศจีนอีกแล้ว  สิ่งแรกที่จะบอกคือ ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับประเทศจีน (Middle Kingdom) ที่มีประวัติศาสตร์อันน่าทึ่ง แต่ผมมีปัญหากับลัทธิคอมมิวนิสต์และลัทธิคอมมิวนิสต์ยังมีอยู่ในประเทศจีน คนที่บอกว่าจีนไม่ใช่คอมมิวนิสต์ น่าจะเป็นคนไร้เดียงสามากทีเดียว เพราะในระบบของคอมมิวนิสต์ ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่าเป็นแบบทุนนิยม แต่เป็นทุนนิยมในระบบเติ้ง ที่ยังใช้อยู่ในจีนจนถึงขณะนี้  อาจจะมองดูเหมือนทุนนิยมแต่ผมรับรองได้เลยว่า จะต้องมีใครสักคนหนึ่งที่เป็นคอมมิวนิสต์ นั่งอยู่ในห้องเล็กๆในตึกหลังหนึ่งที่ไหนสักแห่ง พยายามคิดหาวิธีว่าคราวต่อไปจะทำให้มันถูกต้องได้อย่างไร และเราทุกคนก็รู้ดีว่า การทดลองในเรื่องการ "ทำให้ถูกต้อง" ที่ผ่านมาในศตวรรษที่แล้วนั้น ผลออกมาเป็นอย่างไร มันราวกับมาจากนรกจริงๆ มันถูกเรียกว่า “สหภาพโซเวียต” มันถูกเรียกว่า “คอมมิวนิสต์สากล” มันสยดสยองมาก มีคนตายเป็นล้าน ขอย้ำอีกครั้งว่า ผมสนับสนุนเรื่องการค้าขาย แต่ต้องเป็นการค้าที่เป็นประโยชน์กับประเทศไทย ประเทศไทยไม่จำเป็นที่จะต้องถูกจัดรวมอยู่ภายใต้พลังอำนาจต่างชาติ ซึ่งก็รวมถึงจีน และพลังอำนาจทางตะวันตกด้วย  ทุกแห่งเลยล่ะ ประเทศไทยควรจะรักษาความเป็นเอกราช มีอธิปไตย เป็นอิสระและมีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ผมกังวล

บทความกล่าวต่ออีกว่า: "สถาปนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงิน โดยการเชิญธนาคารระดับโลกให้มาตั้งสาขาในประเทศไทยเพื่อการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ในขณะเดียวกันธนาคารของประเทศไทยก็ควรจะไปตั้งสาขาในต่างประเทศเพื่อให้ได้รับ “สิทธิร่วมกัน”" เราต้องการมันจริงๆเหรอ? ระบบธนาคารของประเทศไทยก็ดีอยู่แล้ว ผมอาจจะเป็นหนึ่งในจำนวนไม่กี่คนที่สนับสนุนลัทธิการปกป้อง เพราะผมว่าสิ่งนี้ใช้ได้ดีในประเทศไทย ผมไม่ได้ต่อต้านแนวคิดของการที่ประเทศไทยจะเป็นศูนย์ทางการเงินด้วยตัวของมันเอง แต่ผมคิดว่าการที่มี mBridge เกิดขึ้น ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มทางการเงินที่จะรวมเข้าด้วยกันให้เป็นหนึ่งเดียว มักถูกเรียกว่าเป็น World Island ของ Halford McKinder ใน Eurasia, และเป็นการทำให้มีการทำงานร่วมกันระหว่างธนาคารกลางของแต่ละประเทศ  ด้วยจุดประสงค์ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการค้าระหว่างประเทศ อันนี้เป็นความคิดที่เยี่ยมยอดมาก ไม่มีปัญหาเลย แต่ขอกล่าวอีกครั้งว่า ผมไม่ต้องการเห็นประเทศไทยถูกจัดรวมอยู่ใต้ผลประโยชน์ของพวกธนาคารต่างประเทศจำนวนหนึ่ง

ขอยกข้อความมากล่าวต่อ และถ้าหากคุณคิดว่าผมตั้งชื่อเรื่องนี้เกินเลยความจริงไปหน่อยก็ดูจากข้อความต่อไปนี้ : "แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับการถือครองที่ดินโดยชาวต่างชาติ โดยมีกฎระเบียบที่ให้ประโยชน์ทั้งด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการเข้าถึงโดยประชาชนไทย" คุณรู้ไหมครับว่าอะไรที่จะทำให้มั่นใจได้ในเรื่องการเข้าถึงสำหรับประชาชนชาวไทยในตลาดอสังหาริมทรัพย์? กันคนต่างชาติออกไปครับ นั่นคือวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดแล้ว และคนไทยคิดถูกแล้วในประเด็นนี้ ชาวต่างชาติทั้งหลายที่โกรธผมเมื่อผมวิพากย์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างรุนแรง ผมก็ต้องขอโทษด้วย อาจจะเพราะผมมีศรัทธาแรงกล้าต่อการเปลี่ยนสัญชาติ ซึ่งผมก็ โอนเรียบร้อยแล้วด้วย ผมเป็นคนไทยและผมก็เข้าใจด้วยว่าทำไมทางการไทยถึงได้กำหนดข้อจำกัดเอาไว้อย่างนั้น ขอยกตัวอย่าง และเราก็ได้ทำวิดีโอไว้แล้วเกี่ยวกับการที่คุณจตุพรได้พูดถึงประเด็นของชาวต่างชาติมาถือครองที่ดินในประเทศไทย แม้ว่าผมจะไม่ได้เห็นด้วยกับคุณจตุพรในหลายเรื่อง แต่ในเรื่องนี้เขาพูดตรงประเด็นเป๊ะเลย เราไม่ควรที่จะอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยแล้วยึดเป็นเมืองขึ้น ซึ่งเขาจะทำอย่างนั้น และเขาก็จะผลักดันคนไทยส่วนหนึ่งให้ออกไปจากพื้นที่ส่วนที่ดีที่สุดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ถ้าคุณมีข้อสงสัยในเรื่องนี้ ขอให้คุณลองมองไปที่ประเทศทางตะวันตกเลย ดู “การทดลอง” ต่างๆ ดู “ห้องทดลอง” ซึ่งก็คือพวกประเทศตะวันตกที่อยู่ภายใต้โปรแกรมต่างๆของ World Economic Forum หลักฐานก็เห็นชัดอยู่แล้ว

ขอยกข้อความมากล่าวต่อ: "การพนันออนไลน์ทำให้เงินไหลออกจากประเทศไทยไปมากมายมหาศาล; เราจำเป็นต้องจัดการในเรื่องภาษี และต้องมั่นใจได้ว่าผลประโยชน์จะถูกนำมาใช้ในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการศึกษา" ความคิดที่เด็ดกว่าก็คือ ผมว่าถ้าหากคุณกังวลเรื่องการหาทุนสำหรับการศึกษา ก็ลองไม่ดึงเอาเงิน 5 แสนล้านบาทออกมาจากงบประมาณประจำปีเพื่อไปสร้างเงินเหรียญดิจิทัล หรือ ถั่ววิเศษ หรือ หรือจะเรียกว่าอะไรก็ว่าไป มันไม่ใช่เงินจริง นักข่าวเศรษฐกิจในบางกอกโพสต์ก็พูดถึงมันว่า มันไม่ใช่เงินจริง ผมเองก็เรียกมันว่า "ปลานิลดิจิตอล" ด้วยซ้ำ โดยยึดหลักของ Gresham's Law ที่ว่า เงินไม่ดีจะผลักดันเงินดีทั้งหมดออกไปจากระบบ และทำให้เศรษฐกิจหดตัว ขอย้ำว่า ผมเห็นด้วยกับแนวความคิดที่ว่า ระบบการศึกษาจำเป็นต้องได้รับเงินสนับสนุน แต่ยังมีอีกหลายวิธีที่จะทำได้ และจริงๆแล้ว เราควรต้องทำตอนนี้เลย แทนที่จะเอาเงินไปทำอย่างอื่นหมด

นายทักษิณกล่าวต่ออีกว่า: "ทำให้ระบบการเก็บภาษีมีความยุติธรรมและมีการแข่งขันกันมากขึ้นทั้งในเรื่องการดำรงชีวิตและการทำงาน  โดยการจัดการในเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างเป็นระบบ" โห "อย่างเป็นระบบ!" ทุกครั้งที่ผมได้ยินคำว่า "อย่างเป็นระบบ" ขนคอของผมตั้งขึ้นมาเลย ; คือการพูดจาโดยใช้ศัพท์แสงทางเทคนิค ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจ และการที่เอาคำว่า “อย่างเป็นระบบ” มาใช้กับการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ทำให้ผมต้องพูดถึงสิ่งที่เขาพูดต่อไปนี้ : 

"ปฏิรูประบบราชการเพื่อที่จะลดค่าใช้จ่ายสาธารณะและจำนวนบุคคลากร โดยการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์มากขึ้น" นั่นหมายความว่าเทคโนโลยีทำให้ทุกสิ่งสุดยอด ใช่หรือเปล่า?

อย่างไรก็ดี ผมติดอยู่กับเสียงของ Martin Armstrong ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่คุณจะเห็นบ่อยใน YouTube เป็นผู้พยากรณ์เศรษฐกิจระยะยาว เขาพูดถึงว่าผู้คนคิดอย่างไรกับ digital wallet รวมถึงการเปลี่ยนระบบราชการทั้งหมดให้เป็นระบบดิจิตอล ดูเหมือนเขาจะคิดว่าด้วยการจัดเก็บภาษีแบบเผด็จการนี้ จะทำให้สามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น ในขณะที่ความเป็นจริงคือ มันเป็นอะไรที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง  เราสามารถมองย้อนกลับไปในศตวรรษที่แล้ว จะเห็นได้ว่าลัทธิเผด็จการในสหภาพโซเวียต ได้ทำลายประเทศรัสเซีย รวมทั้งประเทศที่อยู่รอบๆที่มีชายแดนติดกันไปเกือบหมด ใช่ไหม? การให้ความเป็นอิสระมากขึ้น การมีเสรีภาพมากขึ้น และการทำธุรกิจการค้าเสรี คือสิ่งที่จะทำให้ฐานภาษีสูงขึ้น มันได้รับการพิสูจน์มาแล้วครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดเวลาที่ผ่านมา    

ตอนสุดท้ายมีการกล่าวว่า: "ผมรักประเทศนี้และผมต้องการเห็นประเทศนี้เจริญรุ่งเรือง" ผมก็ด้วยครับ ผมด้วย ผมเห็นด้วยเต็มที่เลยและผมขอบอกอีกครั้งหนึ่งว่า การที่ผมมาจากประเทศที่นโยบายต่างๆของ WEF ได้ทำให้ประเทศนั้นกลายเป็นหายนะอย่างแท้จริง การที่จะนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ที่ประเทศไทย ในความเห็นของผม จะไม่สามารถทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้เลย  มีผลอะไรเลยในการทำให้ประเทศไทยรุ่งเรือง