Legal Services & Resources
Up to date legal information pertaining to Thai, American, & International Law.
Contact us: +66 2-266 3698
พาสปอร์ตการฉีดวัคซีน และข้อกำหนดให้ทำการฉีดวัคซีนมีนัยทางศีลธรรมหรือไม่?
For the English transcript of this video please go to the following link:
วีดีโอเรื่องนี้จะกล่าวถึงสิ่งที่เรียกกันว่า พาสปอร์ตการฉีดวัคซีน หรือข้อกำหนดให้ทำการฉีดวัคซีน ซึ่งผมเคยทำวีดีโอในเรื่องนี้ไปแล้วว่าประเทศไทยได้ยกเลิกข้อกำหนดให้มีการฉีดวัคซีนสำหรับผู้ที่จะมาเที่ยวประเทศไทย ซึ่งตอนนี้ไม่จำเป็นแล้วว่าผู้ที่จะเดินทางมาที่ยวประเทศไทยจะต้องมีการฉีดวัคซีนก่อนเข้าประเทศ วีดีโอเรื่องนี้มีการแสดงความคิดความเห็นมากมาย ซึ่งเป็นความเห็นส่วนตัวของผมและทุกครั้งที่ผมกล่าวว่าเป็นความเห็น ผมก็จะหมายถึงความเห็นของผม
ผมมีความกังวลในขั้นพื้นฐาน ซึ่งอยู่นอกเหนือไปกว่าความถูกต้องตามกฎหมาย และในความเป็นจริงถ้าหากคุณได้ศึกษาเรื่อง Nuremberg Codes, คุณสามารถค้นหากฎหมายอีกมากมายเกี่ยวกับหลักจริยธรรมทางการแพทย์ที่ผู้ป่วยต้องทราบข้อมูลและมีความเข้าใจที่เพียงพอก่อนตัดสินใจเกี่ยวกับการรับการรักษาพยาบาล เรื่องใหญ่ที่ทำให้ผมหงุดหงิดคือ ประเด็นที่เกี่ยวกับข้อมูลการเจ็บป่วยอันเป็นความลับส่วนตัวของผู้ป่วยหรือที่เรียกว่าความเป็นส่วนตัวด้านสุขภาพ ข้อมูลดังกล่าวนี้ ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ของแพทย์และคนไข้ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับความลับระหว่างทนายความกับลูกความ ผมยังจำได้ วันแรกที่ผมเรียนกฎหมายซึ่งอาจารย์ตอนนั้นเป็นผู้พิพากษาที่ต่อมาได้กลายเป็นอาจารย์เกี่ยวกับจริยธรรมของเรา ได้อธิบายเหตุผลความจำเป็นต้องมีสิทธิพิเศษทางกฎหมาย ก็เป็นเพราะบรรดาผู้คนทั้งหลายจะต้องมีความรู้สึกสบายใจที่จะเปิดเผยสถานการณ์อย่างหมดเปลือกต่อทนายความ ต่อแพทย์ผู้ให้การรักษา หรือในบางกรณี ต่อบาทหลวงผู้ทำพิธีในการสารภาพบาปซึ่งจะมีสิทธิพิเศษคุ้มครองเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีสิทธิพิเศษสำหรับนักข่าวในการปกปิดแหล่งข่าวของตนอีกด้วย แต่เราจะไม่พูดถึงประเด็นนั้นเพราะมันเป็นสิ่งที่แตกต่างกันกับความเป็นส่วนตัวด้านสุขภาพ วันนี้เราจะไม่พูดในประเด็นเกี่ยวกับทนายความเพราะเรากำลังคุยเรื่องหมอ ซึ่งกฎข้อนี้มีจุดประสงค์ที่จะให้บุคคลได้รับคำปรึกษาอย่างไม่มีขีดจำกัดจากแพทย์ ในอันที่จะให้เขาผู้นั้นได้ทราบถึงข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับร่างกายของตน และข้อมูลการเจ็บป่วยอันเป็นความลับส่วนตัวของผู้ป่วยนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากจริงๆ ผมไม่คิดว่าทุกคนจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ปล่อยผ่านไปได้ ลองคิดดูก็แล้วกัน ถ้าหากคุณต้องมาคอยกังวลว่าทุกคนรวมทั้งสุนัขที่เขาเลี้ยงอยู่ จะรู้เรื่องปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพขอคุณเพียงเพราะคุณไปหาหมอ คุณยังคิดที่จะไปหาหมออยู่มั้ย? นอกเสียจากว่าจะเป็นสถานการณ์แบบ “ฉันโดนรถเมล์ชนและเลือดกำลังไหล" แน่นอนถ้าเป็นแบบนั้นก็ควรจะพาไปที่ห้องฉุกเฉินและพบกับแพทย์ แต่ผมหมายถึงว่าคุณอยากจะไปหาหมอหรือไม่เพื่อที่จะปรึกษาเรื่องส่วนตัวเช่นเป็นโรคที่เกิดจากการร่วมเพศ หรือเราอาจจะมีโรคที่สามารถทำให้เราเสียชีวิตได้ แต่เราไม่อยากให้ใครรู้เพราะเขาอาจจะปฏิบัติกับเราไม่เหมือนเดิม มีตั้งหลายเหตุผลที่ผมคิดได้ในช่วงสั้นๆว่าเพราะเหตุใดผมจึงต้องการความเป็นส่วนตัวด้านสุขภาพ และผมไม่เข้าใจว่าด้วยเหตุใดที่คนๆหนึ่งที่ต้องการขึ้นเครื่องบินเพื่อไปยังที่อื่น จำเป็นต้องสละความเป็นส่วนตัวอันนั้น ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
แต่ถ้าจะดูลึกไปยิ่งกว่านั้น สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกขวัญเสียอย่างยิ่งก็คือการที่มีการบังคับให้ฉีดวัคซีน เพราะเมื่อไตร่ตรองทุกอย่างแล้ว สังคมนั้นจะเรียกตัวเองว่ามีความเสรีได้อย่างไร ถ้าสังคมนั้นสามารถที่จะบังคับให้ผู้คนต้องทำสิ่งต่างๆกับร่างกาย? ผมไม่เข้าใจจริงๆ และสิ่งที่ผมสังเกตในการคุยกันกับผู้อื่นที่ไม่เห็นด้วยกับผมในประเด็นนี้ พอเริ่มคุยก็จะเข้าไปสู่จุดที่น่ากลัวมากอย่างรวดเร็ว ผมจะพูดว่า ฟังนะ ประเด็นสำคัญสำหรับผมก็คือเรื่องการสวมหน้ากากนะ ถ้าหากมีคนมาบอกว่าคุณจะต้องสวมใส่สิ่งนั้นสิ่งนี้ ผมว่าเรามีปัญหาใหญ่แล้วล่ะ คุณจะต้องดูรัฐบาลของคุณดีๆแลัวล่ะ ถ้าถึงขนาดรัฐบาลมากำหนดว่าเราจะต้องสวมใส่อะไร และจะต้องดูให้มากยิ่งขึ้นว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่เมื่อเขาสั่งให้เรานำบางสิ่งบางอย่างใส่เข้าไปในร่างกายของเรา ในความรู้สึกของผม ผมถือว่าเป็น สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และผมจะไม่กล่าวถึงประเด็นเกี่ยวกับข้อโต้แย้งทางกฎหมายภายใต้รัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ (US Constitution) เพราะวิดีโอเรื่องนี้จะพูดในวงกว้างกว่านั้น ซึ่งผมสามารถจะคุยได้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญและวิธีการต่างๆมากมายว่ามันไปขัดกับรัฐธรรมนูญมากขนาดไหน แต่สิ่งที่พูดนี้เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน ผมหมายถึงว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ และอยู่นอกเหนือความถูกต้องตามกฎหมายด้วย เพราะสิ่งนี้มีนัยทั้งด้านศีลธรรมและจริยธรรม ซึ่งตอนแรกผมจะใช้คำนี้เป็นชื่อวีดีโอเรื่องนี้ด้วยซ้ำ แต่มันเกินคำนั้น เมื่อไตร่ตรองทุกอย่างแล้วผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องทางศีลธรรมล้วนๆ คุณจะต้องมองเรื่องนี้ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น ผมเข้าใจดีว่าถ้าหากมีความเสี่ยงต่อมหัตภัยที่จะเกิดขึ้นกับผู้คนเช่นมีการระบาดของกาฬโรค เป็นต้น แต่กาฬโรคก็แตกต่างกันนิดหน่อยเพราะมันแพร่มาจากหนู แต่ถ้าหากมันเป็นโรคที่ติดต่อกันได้แล้วมีวัคซีน ผมก็ว่าคงแย้งไม่ได้ว่าต้องฉีด อีกตัวอย่างที่ดีคือการระบาดของโรคฝีดาษ จริงๆแล้ว ผมมีหลายคน ทั้งที่เป็นทนายความ และทนายสมัครเล่นในโซเชียลมีเดียหลายปีที่แล้ว – ก่อนที่ผมยกเลิกโซเชียลมีเดียส่วนตัวของผมทั้งหมดเพราะเริ่มที่จะเห็นความเสียสติของมนุษย์และดูเหมือนโลกจะเริ่มที่จะเสียสติโดยเฉพาะในบริบทเกี่ยวกับโซเชียลมีเดีย - ผมจำได้ว่าในตอนนั้นคนเหล่านั้นเคยกล่าวกับผมว่า "ศาลสูงเคยตัดสินว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่พอผมได้ค้นคว้าหาข้อมูลกลายเป็นว่าศาลได้ตัดสินว่า ให้ไปหาคนที่จะฉีด แต่ไม่ได้บอกว่าจะสามารถบังคับให้คนไปฉีดวัคซีน ซึ่งนั่นคือคดีความเริ่มแรก และผมว่าเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจมาก - ผมจำได้ว่ามันเป็นกรณีของฝีดาษ ซึ่งเป็นมหันตภัยต่อชุมชนและฝีดาษสามารถที่จะทำลายชุมชนได้เร็วมาก ตอนนั้ ทุกคนก็รอดและขอพูดให้ชัดเจนว่าในบริบทที่เกี่ยวกับอเมริกา ในส่วนท้ายของกฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ไม่มีเครื่องหมายดอกจันที่ได้เขียนเพิ่มว่า “ยกเว้นกรณีที่เป็นโรคระบาดหรือสาธารณสุขชุมชน” ผมจะไม่พูดลึกลงไปกว่านี้ แต่หนึ่งในคณะผู้ก่อตั้งประเทศนี้ คือ George Washington เองก็เคยเป็นฝีดาษแต่ก็ไม่เคยเห็นความจำเป็นที่จะต้องจำกัดสิทธิ์และเสรีภาพของมนุษย์เอาไว้ในรัฐธรรมนูญสืบเนื่องจากการเป็นฝีดาษ ดังนั้น ผมเองจึงทำใจยากต่อแนวความคิดที่ว่า สามารถที่จะเพิกถอนสิทธิต่างๆได้เพียงเพราะมีโรคระบาดเกิดขึ้น ซึ่งสิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมกำลังชี้ประเด็นโดยนำบริบทของอเมริกามาอ้างถึง แต่ถ้าหากจะพูดในบริบทของนานาชาติโดยทั่วไปอย่างกว้างขวาง ผมเสียใจด้วย แต่ผมไม่สามารถที่จะยอมรับอย่างมีจริยธรรม ว่าผู้คนหรือองค์กรหรือประเทศก็ตาม สามารถที่จะตัดสินใจตามอำเภอใจแต่เพียงฝ่ายเดียวและไม่มีความแน่นอน ซึ่งผมไม่ได้เจาะจงชี้รัฐบาลไหนรายเดียว ผมหมายถึงทุกประเทศ ที่ใช้กฎหมายแบบนี้ ซึ่งเป็นมูลฐานภายใต้กฎหมายสหรัฐฯหลายฉบับ สำหรับการที่จะโยนทิ้งกฎหมายที่ร่างขึ้นมาใหม่ด้วยเหตุผลว่า: "กฎหมายนี้ไม่ถูกต้องเพราะเป็นการทำตามอำเภอใจและไม่มีความแน่นอน"
โดยสรุป นี่คือสิ่งที่แสดงว่าผมมองเรื่องนี้อย่างไรในมุมกว้าง ผมไม่ได้ชี้นิ้วมาที่ประเทศไทยแต่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น แต่มีหลายประเทศที่ทำเช่นนี้และในความคิดของผมก็เป็นสิ่งที่ผิดเช่นกัน เมื่อไตร่ตรองทุกอย่างแล้ว ผมเห็นว่า คุณไม่สามารถที่จะบังคับใครได้ถ้าหากคุณไม่มีเหตุผลที่เหลือจะขัดขืนได้ และผมต้องขอบอกว่าในเวลานี้ เดือนมกราคมของปี 2023 ผมมองไม่เห็นเหตุผลเลย ตอนนี้เรารู้ว่าสิ่งนี้คืออะไรเพราะเราจัดการกับมันมา 3 ปีแล้ว มันไม่ได้ทำให้อัตราการเสียชีวิตสูงพอที่จะมีความจำเป็นเลย คำว่า “จำเป็น” อาจจะไม่เหมาะนัก ผมหมายถึงว่ายังไม่ถึงความเหมาะสมที่จะสรุปว่าข้อบังคับต่างๆเหล่านี้จะสามารถรับประกันได้ ผมคิดว่าตอนนี้เราเลยจุดนั้นไปแล้ว อย่างน้อยที่สุด สำหรับโรคนี้เราไปได้ไกลกว่านั้นแล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมกำลังจะบอกในวีดีโอเรื่องนี้คือ ผมคิดว่าผมแค่ต้องการที่จะออกความคิดเห็นนิดหน่อยและหลายคนถามผมตั้งแต่ผมทำวีดีโอในเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ว่า "โดยส่วนตัวแล้วผมคิดต่อเรื่องนี้อย่างไร" และนี่คือคำตอบของผม ผมคิดว่าถ้ามองในระดับของศีลธรรม โดยปราศจากภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ ผมไม่เห็นว่าจะมีรัฐบาลไหนหรือใครก็ตามที่มีสิทธิ์มาบอกว่าเราต้องนำสิ่งนั้นสิ่งนี้ใส่เข้าไปในร่างกายไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามและไม่ว่าจะในบริบทใดก็ตาม ผมมองไม่เห็นจริงๆ และโดยที่ปราศจากภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อมวลมนุษย์ ซึ่งก็เห็นได้ว่ามันไม่มี ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีเหตุผลใดที่จะทำเช่นนั้นไม่ว่าจะสถานการณ์ใดก็ตาม