Integrity Legal - Law Firm in Bangkok | Bangkok Lawyer | Legal Services Thailand Back to
Integrity Legal

Legal Services & Resources 

Up to date legal information pertaining to Thai, American, & International Law.

Contact us: +66 2-266 3698

info@integrity-legal.com

ResourcesThailand Real Estate & Property LawJurisprudenceไหนล่ะ "วิกฤติเศรษฐกิจ" ที่เป็นข้ออ้างว่าจำเป็นต้องมี "โครงการกระเป๋าเงินดิจิตอล" ?

ไหนล่ะ "วิกฤติเศรษฐกิจ" ที่เป็นข้ออ้างว่าจำเป็นต้องมี "โครงการกระเป๋าเงินดิจิตอล" ?

For the English transcript of this video, please go to the following link:

https://www.legal.co.th/resources/thailand-real-estate-property-law/jurisprudence/wheres-economic-crisis-warranting-digital-wallet/

วีดีโอเรื่องนี้จะกล่าวถึงตัววิกฤติเศรษฐกิจที่ใครๆต่างก็พูดว่าเป็นเหตุผลจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องมีโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลขึ้นมา ผมขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ผมคิดจะทำวีดีโอเรื่องนี้หลังจากที่ผมได้อ่านบทความในหนังสือพิมพ์ Thai Examiner, thaiexaminer.com, หัวข้อเรื่องว่า: First-quarter GDP growth surprises analysts based on higher tourism and consumer spending growth - การเติบโตของ GDP ในไตรมาสแรก ที่อยู่บนพื้นฐานของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่สูงขึ้น ได้สร้างความประหลาดใจให้กับนักวิเคราะห์

เมื่อวันก่อนผมคุยกับเพื่อนผมในประเด็นนี้ว่า ไอ้เรื่องทั้งหมดนี่ มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยพบมา เพราะเรื่องนี้ควรจะเป็นการประกาศที่สร้างความปิติยินดี ซึ่ง Thai Examiner ก็ได้ทำข่าวในเรื่องนี้ได้อย่างดีทีเดียว โดยเสนอข่าวในทุกแง่มุมอย่างเป็นกลาง แต่ผมสังเกตุเห็นในสิ่งตีพิมพ์และสื่ออื่นๆว่ามีการใช้ภาษาฟุ่มเฟือยแปลกๆ เช่น "นักท่องเที่ยวมากเกินไป" ซึ่งผมไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลย ก่อนที่โควิดจะระบาด ไม่มีใครเป็นกังวลกับเรื่องการท่องเที่ยวเลย; ไม่มีใครพูดเลยว่า"นักท่องเที่ยวมากเกินไป" แต่พอมาถึงตอนนี้ สิ่งดีๆเหล่านั้นกลับถูกมองอย่างแปลกๆว่าเป็นสิ่งเลวร้าย ขอยกข้อความโดยตรงจากบทความดังนี้: "สำนักงานเศรษฐกิจอันดับต้นๆของประเทศไทยได้สร้างความประหลาดใจแก่นักวิเคราะห์ทั้งหลาย ที่การเติบโตของ GDP ในไตรมาสแรกพุ่งขึ้นไป 24.8% จากภาคการท่องเที่ยว" คิดดูก็แล้วกันครับ 24.8% ซึ่งเกือบจะเท่ากับ 1ใน4, หมายถึง 4 เท่า; อ้อไม่ใช่ 4 เท่า เศษ 1 ส่วน 4 เท่า เยอะมากครับ บทความกล่าวต่ออีกว่า: "และค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคพุ่งสูงขึ้น 6.9% ด้วย อย่างไรก็ตาม รายงานนี้ได้เตือนถึงการลดลงของภาคอุตสาหกรรมการผลิตและความเป็นไปได้ที่จีนจะนำสินค้าเข้ามาทุ่มตลาด" กล่าวต่อ: "สำนักงานเศรษฐกิจอันดับต้นๆของประเทศไทย ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดทั้งหลายเมื่อวันจันทร์ ด้วยตัวเลขการเจริญเติบโตของ GDP ในไตรมาสแรกซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้คือ มีการเติบโตถึง 1.5% อย่างไรก็ตาม รายละเอียดในรายงานมีผลทำให้เกิดความกังวลใจจากการอ่าน" ซึ่งแนวทางของบทความก็ดูดีอยู่นะครับ?

ตอนนี้ผมเข้าใจว่า มีบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งตรงกันข้ามกับกรณีของประเทศจีน ซึ่งเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวลง ผมคิดว่าโดยพื้นฐานแล้วมันเป็นหายนะและความสิ้นหวังอยู่มากทีเดียว ใช่ครับ ณ เวลานี้ ประเทศจีนกำลังจัดระบบเศรษฐกิจใหม่ แต่ถึงที่สุดแล้ว การดำเนินการของจีนก็ส่งผลต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกทั้งหมด คุณอาจจะโต้แย้งได้ว่า การดำเนินการของจีนนั้นมีผลต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก แต่การจัดระบบเศรษฐกิจใหม่ของจีนและการที่ทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป ก็ทำให้เราเห็นถึงความคึกคักตื่นตัวของ ด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นในประเทศไทยและเวียดนามเป็นต้น แม้กระทั่งมาเลเซียกับอินโดนีเซียก็เช่นกัน มีหลายอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ กล่าวต่อ: "โดยสรุปเขาชี้ไปที่อุตสาหกรรมการผลิตที่เกือบจะหยุดลง  ในขณะเดียวกัน เลขาธิการของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ย้ำเตือนถึงเรื่องการที่ประเทศจีนจะนำผลิตภัณฑ์ต่างๆมาทุ่มตลาดในประเทศไทย "ครับ นั่นจะเป็นปัญหาแน่ ถ้าเกิดขึ้นจริง ผมหวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ใช้ความพยายามหาหนทางบรรเทาความเสียหายจากกรณีนั้น กล่าวต่อ: "ตัวเลขได้ชี้ให้เห็นว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนด้วยภาคการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่โตขึ้น 24.8% เมื่อเทียบกับปี 2023" และสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงคือ ในปี 2023 ตัวเลขได้พุ่งสูงขึ้นจากปี 2022 แน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าหากมีการขึ้นอีกเศษหนึ่งส่วนสี่เปอร์เซ็นต์ คือสูงขึ้น 25% ก็เป็นตัวเลขที่สวยมาก ผมภูมิใจประเทศไทยมาก เราสามารถที่จะทำให้ปัญหากลับหลังหันได้จริงๆ เป็นเพราะเราทุกคน ไม่ว่าสื่อจะกล่าวอย่างไรก็ตาม และผมขอบอกเลยว่าถ้าผมจะโกรธใครในโลกของอินเทอร์เน็ตอย่างถึงขีดสุด ก็คงเป็นสื่อนี่แหละ  ที่อาจจะพุ่งขึ้นเป็นอันดับ 1 อย่างรวดเร็วสำหรับผมก็ได้  กล่าวต่อ: "ตัวเลขได้แสดงถึงอัตราการเจริญเติบโตที่พุ่งขึ้น 24.8% ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยภาคการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ในปี 2023 และค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคก็เพิ่มขึ้นอย่างสะดุดตา ด้วยตัวเลข 6.9% ต่อมาในวันจันทร์ สำนักงบประมาณได้ประกาศว่ารัฐบาลจะเพิ่มงบประมาณรายจ่ายอีก 122,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้งบประมาณประจำปีของประเทศในปี 2024/2025 เป็น 3.6 ล้านล้าน บาท" เขาพูดอยู่แค่นั้นเอง ผมชอบมาก!! ตัวเลข 1แสน 2 หมื่นล้านนั้นเท่าที่ผมเข้าใจคือเงินที่จะนำมาใช้กับโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล โครงการนี้คือสิ่งจำเป็นเร่งด่วนสำหรับเราทุกคนเพราะเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจไม่ใช่หรือ? แล้ววิกฤตอยู่ที่ไหนล่ะ? ตอนนี้เรากำลังจะทำให้ปัญหานี้กลับหลังหันด้วยตัวเราเอง โดยไม่จำเป็นที่จะต้องนำประเทศเข้าสู่ภาวะการเป็นหนี้ในปริมาณมหาศาล เพื่อที่จะสร้างเงินเทียมๆขึ้นมา เงินที่ไม่สามารถจะเอาไปจับจ่ายได้จริง แต่เงินนี้จะเป็นตัวติดตามคุณ และจะทำให้ความเป็นส่วนตัวทางด้านการเงินของคุณหมดสิ้นไป ผมอยากถามว่า วิกฤตที่นำมาอ้างอยู่ที่ไหน ถึงจำเป็นจะต้องมีโครงการแบบนี้? กล่าวต่อ: "การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยโดยผู้บริโภคสามารถเห็นได้ใน 3 เดือนแรกถึงแม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการจำกัดบางอย่างและลดการปล่อยกู้" ตรงนี้สำคัญมาก สำคัญมาก ตอนนี้มีการหดตัวของการกู้เงินจากธนาคารซึ่งเกิดจากเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศไทยเอง ไม่ใช่มาจากเศรษฐกิจการเงิน แต่มาจากเศรษฐกิจ - ซึ่งผมกล่าวถึงมาเป็นเวลานานแล้ว -และเป็นสิ่งที่คนไทยมีความสามารถมากด้านนี้  ถ้าจะพูดถึงการกระทำทางด้านการเงิน คนไทยจะเก่งมากเกี่ยวกับ "เศรษฐกิจนอกระบบ" ซึ่งผมเรียกว่า “เศรษฐกิจทางกายภาพ” เรื่องจริงแท้ก็คือสินค้าและการบริการนั่นแหละที่เป็นตัวสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่ใช่ไอ้เงินปลอมๆนั่น กล่าวต่อ: "เหตุผลสำหรับความคลาดเคลื่อนซึ่งสอดคล้องกับที่สำนักงานเศรษฐกิจกล่าวไว้ก็คือการกระตุ้นอำนาจการใช้จ่ายของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ สำนักงานด้านเศรษฐกิจรายงานว่ารายจ่ายปะทุขึ้น 6.9% ในไตรมาสแรก" ปะทุขึ้น!! ผมชอบคำนี้จริงๆ เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างสำคัญ กล่าวต่อ: "การปะทุขึ้นนี้ เกิดขึ้นได้ถึงแม้จะมีการจำกัดสินเชื่ออย่างเข้มข้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อที่จะลดการปล่อยกู้" ทั้งๆที่มีการหดตัวของการปล่อยกู้โดยธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ตัวเลขก็ยังสูงเกินคาด เป็นสิ่งที่ดีมาก ดีมากจริงๆ กล่าวต่อ: "อย่างไรก็ตาม มันอาจจะถูกขับเคลื่อนโดยรายได้ที่ลอยตัวจากภาคการท่องเที่ยวของต่างชาติก็เป็นได้

ผมมีคำถามครับ การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่สูงขึ้นอย่างน่าทึ่ง 6.9% นั้น มันมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆตัวไหนในตลาดหรือเปล่า ที่อาจจะอยู่ในระบบสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารเป็นหลัก ที่อาจจะเป็นตัวเพิ่มค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคในบริบทของการท่องเที่ยว มันจะเกิดจากพืชสีเขียวหรือเปล่าที่ทุกคนกำลังกังวลอยู่ในขณะนี้? เป็นไปได้มั้ย? มันน่าจะมีการเชื่อมโยงกัน เรากำลังมองอะไรอยู่? ตัวเลขกี่ล้านนะ? ผมคิดว่า 37 และในบทความก็จะพูดถึงตรงนั้นว่ามีนักท่องเที่ยวกว่า 37 ล้านคนเข้ามาในประเทศไทยในปี 2023 และจากตัวเลขนั้น เราก็สามารถมองเห็นตัวเลขของไตรมาสแรกของปี 2024 ต่อ เป็นไปได้ไหมว่านักท่องเที่ยวเหล่านี้จะมาประเทศไทยเพราะต้องการเข้ามาในเขตกฎหมายที่จะไม่มีความยุ่งยากในการใช้สมุนไพร, ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทางการแพทย์ หรือเพื่อสันทนาการก็ตาม, ที่ผู้ใหญ่ที่มีสติสัมปชัญญะสามารถที่จะนำไปเสพในบ้านของตัวเอง? เป็นไปได้ไหมว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาจะมาเพราะเหตุนี้หรือเปล่า? มีผู้สงสัยหลายคนต้องการทราบ

โดยสรุปแล้วนี่คือข่าวที่ดีมาก และในความคิดของผม ผมว่ามันตรงกันข้ามกันเลยทีเดียวกับความเข้าใจว่ามีวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ทำให้ประเทศนี้จำเป็นที่จะต้องเป็นหนี้ เพื่อที่จะเพิ่มเงินเข้าไปในตลาดอีก 2 เท่าของเงินที่ไหลเวียนอยู่แล้วในระบบธนาคาร และเพื่อที่จะสร้างเครือข่ายมหึมาของการติดตามการแปลงทรัพ์สินต่างๆให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ที่พวกเขาเรียกว่า “กระเป๋าเงินดิจิทัล” หรือ "เงินดิจิทัล" ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ใช่เงิน คือมันไม่สามารถนำมาทดแทนกับเงินปกติได้; คุณไม่สามารถที่จะนำไปจับจ่ายซื้อของที่คุณต้องการได้;คุณไม่สามารถที่จะใช้ในทุกสถานที่ที่คุณต้องการใช้ และดูเหมือนจะมีกรอบเวลาจำกัดไว้ด้วย ซึ่งขอถามอีกครั้งหนึ่งว่า ก่อนหน้านี้มีใครเคยคิดมาก่อนหรือไม่ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้จะนับว่าเป็นเงินได้หรือไม่? ผมไม่เคยรู้จักเงินแบบนี้มาก่อน และมันจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องจมลงไปในก้อนหนี้ขนาดมโหฬารนี้ และในที่สุดก็จะต้องมีการจ่ายคืนโดยประชาชนของประเทศนี้ มันจำเป็นจริงๆหรือ? มันมีวิกฤตทางเศรษฐกิจขนาดนั้นเลยหรือถึงจะต้องทำแบบนี้?