For the English transcript of this video, please go to the following link:

https://www.legal.co.th/resources/visa-immigration-law/us-immigration-law/deciding-between-us-tourist-visa-and-k-1-fiancee-visa/

วีดีโอเรื่องนี้จะกล่าวถึงวีซ่านักท่องเที่ยวเข้าสหรัฐฯ ซึ่งเราจะพูดถึงในบริบทของวีซ่า K-1 ประเภทคู่หมั้น ซึ่งคำถามที่ตั้งไว้คือ: "จะเลือกทำวีซ่าอย่างไหนดี? 

ขอบอกเลยว่าสิ่งนี้จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคนเป็นสำคัญ ซึ่งก็ต้องขอพูดอีกครั้งเหมือนกับแผ่นเสียงตกร่องว่า: ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะพูดอย่างกำกวมนะครับ แต่วีซ่าสองประเภทนี้แตกต่างกันมากทีเดียว และจุดประสงค์ของวีซ่าทั้งสองก็ต่างกันด้วย ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว วีซ่า K-1 จะเป็นประเภทวีซ่าชั่วคราว หมายถึงวีซ่าชนิดนี้โดยตัวของมันเองไม่ได้เป็นวีซ่าถาวรแต่อย่างใด เพราะจะสามารถพำนักอาศัยอย่างถูกกฎหมายอยู่ในสหรัฐฯได้เพียง 90 วันเท่านั้นนับแต่วันที่เข้าเมือง แต่มันมี “เจตนาของผู้ย้ายถิ่นฐาน”อยู่ด้วย ดังนั้นวีซ่าชนิดนี้จะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับวีซ่าถาวร ซึ่งจะเรียกว่าเป็นวีซ่าที่มี “เจตนาคู่” ก็ได้ เพราะเราจะเห็นได้ว่า วีซ่านี้มีเจตจำนงที่เป็นได้ทั้งวีซ่าชั่วคราวและวีซ่าถาวรในเวลาเดียวกัน มันก็มีเหตุผลอยู่ เพราะเป็นตามปกติธรรมดาของวีซ่าประเภทคู่หมั้นคือ คุณพาคนเข้ามา แต่คุณยังไม่ได้แต่งงานกัน ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วมันมีความเป็นไปได้ที่คุณอาจจะแต่งหรือไม่แต่ง ถ้าหากการสมรสไม่เกิดขึ้น คุณก็ต้องเดินหน้าต่อและรับผลที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย สรุปสั้นๆก็คือ ถ้าหากผู้นั้นเดินทางออกนอกสหรัฐฯภายใน 90 วันก็จะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

ถึงอย่างนั้น วีซ่าประเภทคู่หมั้นก็จะมีเจตนาในการย้ายถิ่นฐานอยู่ด้วย คือ คุณต้องมีเจตนาที่สุจริตในการย้ายถิ่นฐานเข้าประเทศ  ในขณะที่วีซ่านักประเภทท่องเที่ยวนั้นไม่จำเป็นต้องมีเจตนาดังกล่าว มันจึงเป็นประเภทวีซ่าชั่วคราวอย่างเต็มความหมาย และใช้เพื่อการท่องเที่ยวเท่านั้น ตามชื่อมันเลย และตามที่เราเคยพูดไว้แล้วหลายครั้งในวิดีโอม้วนอื่นๆในช่องรับฟังนี้ มันจะมีประเด็นเกี่ยวกับกฎหมาย 214b ของกฎหมายการเข้าเมืองและสัญชาติ ที่จะทำให้การปฏิเสธวีซ่านักท่องเที่ยวเกิดขึ้นได้ง่ายมาก และด้วยเหตุผลนี้เอง เราจึงมักจะเห็นผู้คนจำนวนหนึ่งที่ถูกปฏิเสธวีซ่านักท่องเที่ยว ความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่อาจจะเดินหน้าต่อก็ได้ และในที่สุดก็จะจบลงที่การเลือกใช้วีซ่าประเภทคู่หมั้น แต่คำถามสำหรับวีดีโอเรื่องนี้คือ "แล้วจะเลือกอย่างไร?" จริงๆแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับฉากทัศน์ของแต่ละคนโดยเฉพาะ, ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แวดล้อมของคุณเองโดยเฉพาะ ดังนั้น ถ้าหากคุณมีคำถามประเภทนี้ในใจ ผมคิดว่าคงไม่ใช่ความคิดที่เลวร้าย ที่จะติดต่อผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายเพื่อขอความคิดเห็นและคำแนะนำว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร